วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

จังหวัดมุกดาหารประชาสัมพันธ์และชี้แจงทำความเข้าใจ กรณีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้มีคำพิพากษาในคดีตีความคำพิพากษาคดีประสาทพระวิหาร ปี ๒๕๐๕

นายสรสิทธิ์ ฤทธิ์สรไกร รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เปิดเผยว่า จังหวัดมุกดาหารได้รับแจ้งจากกระทรวงมหาดไทยว่า นายกรัฐมนตรีได้มีคำแถลงต่อสาธารณชนภายหลังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้มีคำพิพากษาประสาทพระวิหารและได้เน้นยำว่าประเทศไทยและกัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านกัน ยังเป็นสมาชิกอาเซียนทีต้องพึ่งพาอาศัยกันต่อไปเพื่อความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองอีกทั้งประชาชนไทยและกัมพูชามีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ร่วมกันมาช้านาน ทั้งสองประเทศจึงจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทั้งสองประเทศ

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประชาสัมพันธ์และชี้แจงทำความเข้าใจให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบข้อเท็จจริง กรณีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้มีคำพิพากษาในคดีตีความคำพิพากษาและคำแถลงของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คำกล่าวสุนทรพจน์ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวแถลงการณ์ภายหลังการอ่านคำพิพากษาของศาลโลก กรณีปราสาทพระวิหาร ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2556 เวลา 19.20 น. สวัสดีค่ะ พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพรัก

ตามที่ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2554 ประเทศกัมพูชาได้ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ "ศาลโลก” เพื่อขอให้ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 โดยเห็นว่าประเทศไทยและประเทศกัมพูชามีความเห็นที่ไม่ตรงกันเกี่ยวกับคำพิพากษาของคดีฯ เมื่อปี 2505 ในเรื่องของขอบเขต "บริเวณใกล้เคียงปราสาท” ซึ่งประเทศกัมพูชาเห็นว่าต้องเป็นไปตามเส้นเขตแดนระหว่างประเทศในแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ระวางดงรัก นั้น คณะดำเนินคดีฝ่ายไทยได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ดีที่สุด ได้ต่อสู้ในแง่กฎหมายและตามกติกาสากลอย่างเต็มที่ ดังเป็นที่ประจักษ์ในการให้การทางวาจาต่อศาลโลก เมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลทราบดีว่าภารกิจการต่อสู้คดีฯ ในครั้งนี้ เป็นภารกิจที่ท้าทายและยากลำบากมาก เพราะเป็นคดีที่ตีความคำพิพากษาเดิมที่ผ่านมาแล้ว 50 ปี และประเทศไทยจำเป็นต้องกลับไปต่อสู้ที่ศาลอีกครั้งหนึ่ง เพื่อมิให้ศาลพิจารณาเพียงเอกสารหลักฐาน และคำให้การของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น คณะดำเนินคดีของประเทศไทยจึงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล และประชาชนในทุกด้านอย่างเต็มที่ เพื่อให้ทุกคนสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสบายใจและมีประสิทธิภาพสูงสุด บัดนี้ ศาลโลกได้พิจารณาเอกสารหลักฐานของทั้งสองฝ่าย ซึ่งพี่น้องประชาชนทุกท่านคงได้มีโอกาสติดตามการถ่ายทอดสดคำพิพากษา โดยรัฐบาลเห็นว่า เป็นคำพิพากษาที่ให้ความสำคัญกับการที่ทั้งสองประเทศจะต้องเจรจากัน และมีหลายส่วนที่เป็นคุณกับประเทศไทย โดยมีประเด็นหลัก ๆ ดังนี้

1. ศาลรับฟังข้อต่อสู้ของไทย และได้ตัดสินยืนยันที่จะตัดสินภายในขอบเขตของคำพิพากษาเดิม เมื่อปี2505

2. ศาลรับฟังข้อต่อสู้ของไทย โดยยืนยันว่า คำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 นั้น ไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับประเด็น เขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะเป็นประเด็นที่อยู่นอกเหนือจากคำพิพากษาเดิม ซึ่งหมายความว่าศาลไม่รับพิจารณาข้อเรียกร้องของกัมพูชาเหนือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร และที่สำคัญศาลไม่ได้ตัดสินว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ผูกพันกับไทย โดยผลของคำพิพากษาเมื่อปี 2505

3. ศาลรับตีความเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทตามคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 โดยศาลอธิบายว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ขนาดเล็กมาก ซึ่งกำหนดขึ้นตามสภาพภูมิศาสตร์ที่ประกอบขึ้นเป็นยอดเขาพระวิหาร โดยไม่ได้กำหนดเส้นเขตแดน และที่สำคัญไม่รวมพื้นที่ภูมะเขือ ซึ่งในส่วนของพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทนี้ ทั้งสองประเทศจำเป็นต้องหารือกันในรายละเอียดต่อไปโดยกลไกทวิภาคีที่มีอยู่

4. ศาลได้แนะนำให้ความสำคัญกับการที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันในการอนุรักษ์และพัฒนาปราสาทพระวิหารในฐานะที่เป็นมรดกโลก ดังนั้นรัฐบาลได้สั่งให้ทีมที่ปรึกษากฎหมายศึกษารายละเอียดและสาระสำคัญของคำพิพากษา เพื่อนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะไปประกอบพิจารณาดำเนินการของรัฐบาลต่อไป

ต่อจากนั้น ไทยและกัมพูชาจะต้องเจรจาหารือภายใต้กลไกที่มีอยู่ระหว่างทั้งสองประเทศ เพื่อให้ได้ข้อยุติให้เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย และจะคำนึงถึงขั้นตอนและกระบวนการของกฎหมายและบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ในโอกาสนี้ ดิฉันขอเรียนยืนยันว่า การดำเนินการของรัฐบาลจะรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง รวมทั้งเกียรติภูมิของชาติและความเป็นประชาคมอาเซียน พร้อมกันนี้ รัฐบาลได้สั่งการและกำชับให้ฝ่ายทหารและเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ฝ่ายความมั่นคงยังคงรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณชายแดน รักษาอธิปไตยและดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ เพื่อสันติภาพ สันติสุขและความสงบเรียบร้อยดังที่ได้ปฏิบัติมาโดยตลอด พี่น้องประชาชนที่เคารพรัก ประเทศไทยและกัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านกันที่นอกจากจะมีพรมแดนติดต่อกันถึงเกือบ 800 กิโลเมตร ยังเป็นสมาชิกอาเซียนที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันต่อไป เพื่อความสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง อีกทั้ง ประชาชนไทยและกัมพูชาก็มีความสัมพันธ์ฉันญาติมิตร มีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ร่วมกันมาช้านาน ดังนั้น ทั้งสองประเทศจึงจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทั้งสองประเทศ ในนามของรัฐบาล ดิฉันขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทยมีความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะดำเนินการทุกอย่างโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนและของชาติอย่างสูงสุด ขอบคุณค่ะ




สุภาวดี อัมไพพันธ์ ส.ปชส.มุกดาหาร/ข่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น