วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จ.สุรินทร์ เตรียมจัดประกวดผลิตภัณฑ์ OTOP ดีเด่นประจำปี 2556 เพื่อส่งเข้าประกวดระดับประเทศ และจำหน่ายเป็นของฝากช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่

นายวิเชียร จันทรโณทัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์  เปิดเผยว่า จังหวัดสุรินทร์กำหนดประกวดผลิตภัณฑ์ OTOP ดีเด่นจังหวัดสุรินทร์  โดยเปิดรับสมัครผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ที่ส่งผลิตภัณฑ์เข้าประกวดระดับอำเภอ  ภายในวันที่ 15  กรกฎาคม 2556 จากนั้นจะทำการคัดเลือกผลิตภัณฑ์เด่น  5  ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ประเภทอาหาร ประเภทเครื่องดื่ม ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย ประเภทของใช้ของประดับตกแต่งและของที่ระลึก และประเภทสมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร  เพื่อเข้าร่วมประกวดในระดับประเทศภายในวันที่ 29 กรกฎาคม 2556

โดยผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ทั้ง  5  ประเภทจะต้องเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับมอบเป็นของขวัญ หรือของฝากในวันขึ้นปีใหม่ได้ และผลิตภัณฑ์ที่ชนะการประกวดระดับจังหวัด  จังหวัดจะจัดส่งเข้าประกวดในระดับประเทศ ณ ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี  ซึ่งกรมการพัฒนาชุมชนให้จังหวัดนำผลิตภัณฑ์ที่ชนะการประกวดระดับจังหวัด  เข้าร่วมประกวดในระดับประเทศในงาน “ศิลปาชีพ ประทีบไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี”  ระหว่างวันที่ 10 – 18 สิงหาคม 2556  รวมทั้งเข้าร่วมจำหน่ายในที่ทำการไปรษณีย์   และผู้ผลิตผู้ประกอบการ OTOP ที่ชนะการประกวด จะต้องสามารถบริหารการผลิตได้   ทั้งนี้กรมการพัฒนาชุมชนได้เชิญบริษัท ห้างร้าน บริษัทส่งออก บริษัทขายส่ง บริษัทหลักทรัพย์ ฯลฯ มาทำการซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเพื่อแจกลูกค้า/พนักงาน ในวันขึ้นปีใหม่บริษัทละ 3,000 – 4,000 ชิ้น

สำหรับเกณฑ์การให้คะแนนการประกวด เป็นดังนี้ รูปลักษณ์ /ลักษณะภายนอกของสินค้าโดยรวม  20 คะแนน คุณภาพและความประณีตของผลิตภัณฑ์ 30 คะแนน มีความเหมาะสม สามารถนำไปใช้ประโยชน์ 20 คะแนน มีความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ 30 คะแนน รวมทั้งหมด 100  คะแนน

สนใจสอบถามรายละเอียดที่  สำนักงานพัฒนาชุมชนทุกอำเภอ




สมทรง เผือกผล / ส.ปชส.สุรินทร์ / ข่าว

จ.สุรินทร์ ขอเชิญร่วมงานมหกรรมแห่เทียนพรรษาสวยงาม อลังการ ด้วยขบวนช้างกว่า 86 เชือก พร้อมผู้ร่วมขบวนแห่กว่า 1,500 คน และร่วมพิธีทำบุญตักบาตรบนหลังช้างหนึ่งเดียวในโลก 20-22 กรกฎาคม นี้

นายยุทธนา วิริยะกิตติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยว่า จังหวัดสุรินทร์เป็นดินแดนที่มีความรุ่งเรืองทางอารยธรรมมาช้านาน โดยมีชาวสุรินทร์ที่มีเชื้อสายเขมร ลาว กวยและจีนอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขภายใต้พระบารมีของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ประกอบกับช้างมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของคนไทยมาช้านาน ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น การแห่เทียนพรรษา การบวชนาค โกนจุก เป็นต้น จังหวัดสุรินทร์จึงกำหนดจัดงาน “มหกรรมแห่เทียนพรรษาและตักบาตรบนหลังช้าง” ประจำปี 2556 ระหว่างวันที่ 20-22 กรกฎาคม 2556 ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ และบริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง   โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ให้คงอยู่สืบไป และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดสุรินทร์  โดยมีรายละเอียดการจัดงาน ดังนี้

วันที่ 20 กรกฎาคม 2556  เวลา 16.00 น. ขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากวัดกลางสุรินทร์ ไปยังสนามหน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์  อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานบนมณฑป  และเวียนเทียนรอบพระบรมสารีริกธาตุ

วันที่ 21 กรกฎาคม 2556  เวลา 09.00น. เป็นต้นไป  การแสดงนิทรรศการทางศาสนา  เวียนเทียนสักการะพระบรมสารีริกธาตุ สมโภชน์ต้นเทียน การสาธิตโต๊ะหมู่บูชา การแกะสลักเทียน และนิทรรศการการท่องเที่ยว ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์

เวลา 17.00น. ขบวนแห่เทียนพรรษาพร้อมกันที่บริเวณอุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง  จากนั้นเคลื่อนขบวนไปตามถนนในเขตเทศบาลเมืองสุรินทร์ โดยขบวนประกอบด้วยขบวนแห่เทียนพรรษาจากวัดในเขตเทศบาลเมืองสุรินทร์ ซึ่งตกแต่งสวยงาม  มีขบวนฟ้อนรำ  การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม  และต้นเทียนที่แตกแต่งสวยงาม พร้อมสาวงามจากวัดต่าง ๆ 12 วัด  ได้แก่ วัดใหม่ศรีมากทอง วัดจุมพลสุทธาวาส วัดศาลาลอยพระอารามหลวง วัดป่าโยธาประสิทธิ์ วัดกลางสุรินทร์ วัดบูรพารามพระอารามหลวง วัดโคกบัวราย วัดพรหมสุรินทร์ วัดจำปาสุรินทร์ วัดหนองบัว วัดเทพสุรินทร์ และวัดประทุมเมฆ  ขบวนแห่จะตกแต่งสวยงามอลังการ มีขบวนฟ้อนรำรวมทุกขบวนไม่น้อยกว่า 1,500 คน แต่ละขบวนจะฟ้อนรำให้ประชาชนชมรวม 3 จุด ณ บริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง วงเวียนน้ำพุ และหน้าโรงยิมเทศบาลเมืองสุรินทร์

โดยจะมีการประกวดขบวนแห่เทียนพรรษาและการประกวดรถต้นเทียนด้วย  ซึ่งผู้ชนะการประกวดขบวนแห่เทียนพรรษา จะได้รับเงินรางวัล 40,000 บาท 35,000 บาท 30,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและเกียรติบัตร และรางวัลชมเชย 9 รางวัล ๆ ละ 20,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ส่วนผู้ชนะการประกวดรถต้นเทียน ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท 25,000 บาท 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและเกียรติบัตร และรางวัลชมเชย 9 รางวัล ๆ ละ 15,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร

นอกจากนั้นยังมีขบวนช้าง 86 เชือก  ประกอบด้วย ขบวนช้างตกแต่งสวยงามด้วยสีเงิน  เหลื่อมแพรวพราว  มีพระบรมสารีริกธาตุประทับบนหลังช้าง   ตามด้วยขบวนช้างตกแต่งสวยงาม มีพระพุทธรูปอยู่บนหลังช้าง  ขบวนช้างเทิดพระเกียรติ  ขบวนช้างมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่  เจ้าคณะจังหวัด  เจ้าคณะอำเภอ  นั่งบนหลังช้าง และ ขบวนช้างประดับตกแต่งสวยงามหลากสีสัน  โดยขบวนจะเคลื่อนจากบริเวณอุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง  เคลื่อนขบวนไปตามถนนในเขตเทศบาลเมืองสุรินทร์  และสิ้นสุดที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์

เวลา 19.20 น. กิจกรรมเวียนเทียนรอบพระบีรมสารีริกธาตุ ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์  พิธีเจริญพระพุทธมนต์  อธิฐานจิตแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  โดยพุทธศาสนิกชนแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสุรินทร์

วันที่ 22 กรกฎาคม 2556  พิธีทำบุญตักบาตรบนหลังช้าง ณ บริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง โดยพระเถระชั้นผู้ใหญ่  นั่งรับบิณฑบาตบนหลังช้าง .ซึ่งมีหนึ่งเดียวในโลก  โดยพุทธศาสนิกชนแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมโฮล  หรือแต่งกายชุดผ้าไหมสุรินทร์

จังหวัดสุรินทร์จึงขอเชิญพุทธศาสนิกชนทุกคนร่วมงานมหกรรม แห่เทียนพรรษาและร่วมพิธีทำบุญตักบาตรบนหลังช้างหนึ่งเดียวในโลก 20-22 กรกฎาคม นี้ ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ และบริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง




สมทรง เผือกผล / ส.ปชส.สุรินทร์ / ข่าว

จ.สุรินทร์ ขอเชิญร่วมสืบสานงานบุญที่ยิ่งใหญ่ มหกรรมแห่เทียนพรรษา และตักบาตรบนหลังช้าง วันที่ 20-22 กรกฎาคม 2556

จังหวัดสุรินทร์  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ ได้ส่งเสริมพัฒนาจังหวัดสุรินทร์ให้เป็นเมืองท่องเที่ยว  “มาสุรินทร์ เที่ยวได้ทุกวัน”  โดยพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวภายใต้แนวคิดของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ  ความหลากหลายทางวัฒนธรรม  ท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์และเพื่อสุขภาพ  ทั้งนี้ได้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศมาเที่ยวจังหวัดสุรินทร์ตลอดปี   และในเดือนกรกฎาคม 2556  จังหวัดสุรินทร์ได้จัดงานมหกรรมแห่เทียนพรรษาและตักบาตรบนหลังช้าง จังหวัดสุรินทร์ ประจำปี 2556  โดยมีแนวคิดจากจังหวัดสุรินทร์เป็นดินแดนที่มีการเลี้ยงช้างมากที่สุดในประเทศไทย  มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแพร่หลายว่าเป็นเมืองช้าง  ซึ่งช้างในจังหวัดสุรินทร์ถูกเลี้ยงเป็นช้างบ้าน  มีการปฏิบัติต่อช้างเหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ใช้ช้างร่วมประเพณีและพิธีกรรมสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งเมืองสุรินทร์จนถึงปัจจุบัน  จึงได้นำช้างมาร่วมในขบวนแห่เทียนพรรษาและตักบาตรบนหลังช้างเป็นครั้งแรกในปี 2550  และได้จัดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน  จากความสำคัญดังกล่าวจังหวัดสุรินทร์  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  จึงร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์  จัดงานประเพณีมหกรรมแห่เทียนพรรษาและตักบาตรบนหลังช้างจังหวัดสุรินทร์ประจำปี 2556 ขึ้น  ระหว่างวันที่ 20-22 กรกฎาคม 2556 ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ และบริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง

การจัดงานมหกรรมแห่เทียนพรรษาและตักบาตรบนหลังช้างจังหวัดสุรินทร์ประจำปี 2556 มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา  เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดสุรินทร์ให้เป็นเมืองท่องเที่ยว  และเพื่อสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของประชาชนชาวไทยให้ดำรงสืบไป

โดยวันที่ 20 กรกฎาคม 2556  เวลา 16.00 น. จะมีขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากวัดกลางสุรินทร์ ไปยังสนามหน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์  อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานบนมณฑป  และเวียนเทียนรอบพระบรมสารีริกธาตุ

วันที่ 21 กรกฎาคม 2556  เวลา 09.00น. เป็นต้นไป  จัดให้มีกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา  ประกอบด้วย  นิทรรศการทางศาสนา  การประกวดโต๊ะหมู่บูชา สาธิตการแกะสลักเทียน  นิทรรศการภาพถ่าย  การสมโภชน์ต้นเทียน  และการเวียนเทียนสักการะพระบรมสารีริกธาตุ  ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์

จากนั้น เวลา 17.00น. นักท่องเที่ยวจะได้ชมขบวนแห่เทียนพรรษา  ต่อด้วยขบวนช้าง  86  เชือก  ที่ตกแต่งสวยงาม ยิ่งใหญ่ตระการตา ประดับด้วยไฟสวยงามตื่นตาตื่นใจ  ร่วมขบวนแห่จากบริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง  เคลื่อนขบวนไปตามถนนในเขตเทศบาลเมืองสุรินทร์  สิ้นสุดที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์

และในวันที่ 22  กรกฎาคม 2556  เวลา 07.00 น. เป็นต้นไป ขอเชิญร่วมพิธีตักบาตรบนหลังช้างแห่งเดียวในโลก  ณ ลานอุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต

ด้านนายกิตติภัทร์  รุ่งธนเกียรติ   นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์  กล่าวว่า การนำช้างร่วมขบวนแห่เทียนพรรษาและตักบาตรบนหลังช้างในครั้งนี้  นับได้ว่าเป็นการสืบทอดความสัมพันธ์ระหว่างช้างกับพระพุทธศาสนา  เพราะในอดีตเมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาที่ป่าเลไลก์นั้น  ช้างป่าลิไลก์ได้ถวายการปรนนิบัติต่อพระพุทธองค์โดยการหาผลไม้มาถวายทุก ๆ เช้า  และทุกเย็นก็จะต้มน้ำร้อนถวายโดยใช้วิธีกลิ้งหินที่มีความร้อนให้ตกลงไปในแอ่งน้ำ   ดังนั้นการนำช้างมาร่วมขบวนแห่เทียนพรรษาในปีนี้  จึงเป็นการสืบทอดความสัมพันธ์ระหว่างช้างกับพระพุทธศาสนาอีกครั้ง  ซึ่งช้างที่มาร่วมในขบวนและร่วมในพิธีตักบาตรบนหลังช้างส่วนหนึ่งเป็นช้างที่มาจากโครงการนำช้างคืนถิ่นเพื่อพัฒนาสุรินทร์บ้านเกิด  ที่อยู่ในความดูแลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์และองค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ทั้งสิ้น

จังหวัดสุรินทร์จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนานิกชนและนักท่องเที่ยวได้ร่วมทำบุญครั้งยิ่งใหญ่กับชาวสุรินทร์ พบกับความยิ่งใหญ่องลังการของขบวนแห่เทียนพรรษา วันที่ 21 กรกฎาคม 2556  และร่วมพิธีทำบุญตักบาตรบนหลังช้างหนึ่งเดียวในโลกในเช้าวันที่ 22 กรกฎาคม 2556 ณ บริเวณอุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง  เพื่อความเป็นสิริมงคลและเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่หัว  ที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 86  พรรษาในปีนี้





ฝ่ายประชาสัมพันธ์และการท่องเที่ยว  อบจ.สุรินทร์ / ข่าว

ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาประชุมสภากาแฟมอบนโยบายให้กับหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา


วันนี้ (12 ก.ค. 56) เวลา 07.30 น.  ที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ดร.วินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เรียกหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่เข้าร่วมหารือในรูปแบบของสภากาแฟ เพื่อเสนอ ข้อคิดเห็นในการแก้ไขปัญหาในพื้นจังหวัดนครราชสีมา ในด้านต่างๆ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการเข้าร่วมหารืออย่างพร้อมเพียง สำหรับการหารือกับหัวหน้าส่วนราชการในรูปแบบของสภากาแฟครั้งต่อไป จะมีขึ้นในวันที่ 2 ส.ค. 56 ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา

จังหวัดนครราชสีมาจัดการอบรมตามโครงการ ลดกลุ่มเสี่ยงนอกสถานศึกษาต้านภัยยาเสพติด ประจำปี 2556

วันนี้ (12 ก.ค. 56) เวลา10.30 น.  ที่กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดนครราชสีมา ดร.วินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานในการมอบประกาศนียบัตรและให้โอวาทแก่ผู้ที่ผ่านการอบรมตามโครงการ ลดกลุ่มเสี่ยงนอกสถานศึกษาต้านภัยยาเสพติด ประจำปี 2556 ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัด นครราชสีมา ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เยาวชนกลุ่มเสี่ยงนอกสถานที่ศึกษาก่อปัญหา ทั้งด้านอาชญากรรมยาเสพติดและด้านอื่นๆ สามารถสร้างระเบียบวินัย รวมทั้งปรับปรุงบุคลิกภาพของผู้เข้ารับการอบรมจนสามารถสนับสนุนการปฏิบัติ หน้าที่ของฝ่ายปกครอง และตำรวจรวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกส่วนได้ อีกทั้งเป็นการเพิ่มมวลชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอีกทางหนึ่ง สำหรับการอบรมในครั้งนี้ได้มีนักศึกษาจากสำนักงานการศึกษานอกระบบและการ ศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดนครราชสีมา เข้าร่วมจำนวน 90 คน โดยในการอบรมได้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 9-12 กค.2556 ซึ่งได้มีการจัดการอบรมให้ความรู้พิษภัยของยาเสพติด การฝึกอาชีพ การแนะนำส่งเสริมอาชีพ รวมทั้งการฝึกระเบียบวินัยและการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เป็นต้น

อธิการบดี มทส. ฉุนขาด สั่งแจ้งจับเว็บขายวุฒิการศึกษาปลอม

ศาสตราจารย์ ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีขบวนการขายวุฒิการศึกษาปลอมยังเกลื่อนในเว็บไซต์และ Social Network ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาถึงระดับอุดมศึกษา และพบว่าหนึ่งในนั้นมีการโฆษณาว่ารับทำวุฒิการศึกษาปลอมหรือใบรับรองผลการ ศึกษาปลอมของ มทส. อยู่ด้วย ซึ่งเรื่องนี้มหาวิทยาลัยไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้รวบรวมข้อมูลเว็บไซต์และ Social Network ที่มีการลงโฆษณาประชาสัมพันธ์ และมอบหมายให้นิติกรของมหาวิทยาลัยดำเนินมาตรการขั้นเด็ดขาด โดยเข้าแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับขบวนการค้าวุฒิการศึกษาปลอมดังกล่าว เรียบร้อยแล้ว เพื่อกำจัดขบวนการเหลือบไรที่หากินกับการปลอมแปลงเอกสารที่ทางการออกให้ ซึ่งกระทบต่อภาพลักษณ์ ชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ และการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย

"มทส. เคยตรวจพบกรณีมีการปลอมวุฒิการศึกษามาแล้ว เป็นการปลอมโดยตัวบุคคล โดยมีสถานประกอบการส่งทรานสคริปต์มาให้มหาวิทยาลัยทำการตรวจสอบ เนื่องจากพบว่าพนักงานที่เขารับเข้าทำงานไม่มีทักษะของนักศึกษา มทส. เลย ผิดสังเกตจากการที่ได้ร่วมงานกับนักศึกษาที่ไปปฏิบัติสหกิจศึกษาที่สถาน ประกอบการดังกล่าว ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเป็นวุฒิการศึกษาปลอม นอกจากนี้ เมือ 2 ปีที่แล้วขณะที่ผมเป็นประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ก็เคยมีขบวนการค้าวุฒิการศึกษาปลอมเหล่านี้ระบาดหนักทั้งในประเทศและของ มทส.เคยนำไปใช้ถึงต่างประเทศ คือ นิวซีแลนด์ สร้างความเดือดร้อนให้กับสถาบันอุดมศึกษากันมาก เช่น กรณีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ถูกนำไปกล่าวอ้างปลอมวุฒิการศึกษา ตราสัญลักษณ์และวุฒิเป็นของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ลายเซ็นนายทะเบียนเป็นชื่ออดีตผู้อำนวยการศูนย์บริการการศึกษา มทส. เป็นต้น ดังนั้น ที่ประชุม ทปอ.ได้ร่วมหารือและมีมติร่วมกันดำเนินการจัดการมิจฉาชีพเหล่านี้ขั้นเด็ด ขาด เนื่องจากการปลอมวุฒิการศึกษาถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ์ หรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 1 พันบาทถึง 1 หมื่นบาท บวกกับมาตรา 268 ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ”
                   
อธิการบดี มทส. กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นปัญหาเรื้อรังมาโดยตลอด ตราบใดที่ยังมีผู้แอบอ้างและหากินทางนี้ ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเนื่องมาจากบัณฑิตของ มทส. ซึ่งเป็นบัณฑิตเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้น เป็นบัณฑิตพร้อมใช้ โดยการนำสหกิจศึกษามาเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร และยังเป็นบัณฑิตที่มีอัตราการได้งานทำสูงมากเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ เป็นที่ต้องการและได้รับการยอมรับจากสถานประกอบการและตลาดแรงงาน จึงเป็นที่หมายปองของมิจฉาชีพและผู้ที่ต้องการแอบอ้างเพื่อนำไปสมัครงานและ ศึกษาต่อ นอกจากนี้ การเป็นบัณฑิต มหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิตของมหาวิทยาลัยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากการผลิตบัณฑิตและบัณฑิตศึกษาของมหาวิทยาลัยจะเน้นหนักเรื่องสหกิจ ศึกษา การทำ Senior Project การทำวิจัย เนื่องจาก มทส. เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติเน้นเรื่องวัฒนธรรมคุณภาพ เพราะฉะนั้นเราต้องรักษามาตรฐานด้านการวิจัยและการประกันคุณภาพการศึกษา ของมหาวิทยาลัยเป็นสำคัญ
 
อย่างไรก็ตาม สถาบันการศึกษา หน่วยงานหรือสถานประกอบการต่าง ๆ ที่รับบัณฑิตของมหาวิทยาลัยเข้าทำงานหรือศึกษาต่อ สามารถตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นได้ว่าวุฒิการศึกษาที่ใช้เป็นของจริงหรือของ ปลอม จากระบบทะเบียนและประเมินผลของศูนย์บริการการศึกษา ซึ่งมีระบบให้บริการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นของ ผู้สำเร็จการศึกษาของมหาวิทยาลัยแบบออนไลน์ สามารถตรวจสอบได้ทุกที่ทุกเวลาที่ http://reg3.sut.ac.th/registrar/cs_chkstudentgraduate.asp?avs843957776=1 เป็นการกลั่นกรองลำดับแรก แต่หากไม่มั่นใจก็สามารถตรวจสอบข้อมูลได้โดยตรงกับทางมหาวิทยาลัย โดยในระบบดังกล่าวจะมีที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ประสานให้มหาวิทยาลัยตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมได้ ซึ่ง มทส. มีฐานข้อมูลรองรับและสามารถตรวจสอบข้อมูลบัณฑิตได้ทุกรุ่นทุกระดับการศึกษา
 
"ผมจึงอยากเรียกร้องและวิงวอนให้เพื่อน ๆ จากสถาบันอุดมศึกษาด้วยกันได้ตระหนักถึงปัญหานี้ เพราะจากนี้ไปประเทศไทยกำลังก้าวสู่ประชาคมเศรษกิจอาเซียน ในปี 2558 มีการเคลื่อนย้ายแรงงานความรู้(knowledge workers) อย่างอิสระ จึงนับวันสถาบันอุดมศึกษาโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง จะเจอกับปัญหานี้มากยิ่งขึ้น เพราะเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน ดังนั้นควรมาร่วมกันแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน โดยการร่วมหารือทั้งระดับที่ประชุม ทปอ. และ ทอมก. เพื่อแชร์ข้อมูลการดำเนินการและหามาตรการร่วมกันเพื่อกำจัดมิจฉาชีพ เห็บ หมัด เหลือบ ริ้นเหล่านี้ให้สิ้นซาก รวมถึงต้องปลูกฝังความคิด คุณธรรม จริยธรรม และจิตสำนึกคนในสังคมด้วยว่าการใช้วุฒิการศึกษาปลอมเป็นเรื่องที่ผิดทั้ง คุณธรรม จริยธรรม และผิดกฎหมายด้วย” อธิการบดี มทส.กล่าวในที่สุด



 
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

12 กรกฎาคม 2556

การค้าภายในชัยภูมิลุยตรวจการจำหน่ายเครื่องสังฆทาน

การค้าภายในจังหวัดชัยภูมิ ลุยตรวจร้านค้าจำหน่ายเครื่องสังฆทาน ให้มีการติดป้ายแสดงราคา ห้ามนำเครื่องสังฆทานเก่ามาจำหน่ายโดยเด็ดขาด หากเป็นเครื่องอุปโภคบริโภคที่หมดอายุแล้ว อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายของพระภิกษุสงฆ์ได้

นางสาวปณิดา ผดุงพงษ์ การค้าภายในจังหวัดชัยภูมิ นำเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบร้านค้าจำหน่ายเครื่องสังฆทาน ในเมืองชัยภูมิ คุมเข้มไม่ให้มีการนำเครื่องสังฆทานเก่ามาจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นผ้าอาบน้ำฝน สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก หากเสื่อมสภาพคุณภาพใช้ประโยชน์ได้น้อยลง แต่หากเป็นเครื่องอุปโภค บริโภค อาจะเน่าเสียเป็นอันตรายต่อสุขภาพของพระภิกษุสงฆ์ สามเณรที่รับประทานเข้าไป ซึ่งจะทำให้ผู้นำเครื่องสังฆทานไปถวายเป็นบาป และคุมเข้มให้มีการติดป้ายแสดงราคาสิ่งของที่บรรจุอยู่ในถังสังฆทานทุกถัง และแสดงวันหมดอายุ จาการออกตรวจ ตามร้านจำหน่ายเครื่องสังฆทาน เทียนพรรษา ผ้าไตรจีวร และอื่น

ในช่วงนี้บรรดาเจ้าของร้านต่างบอกว่าในปีนี้เศรษฐกิจยังคกตกต่ำ สิ่งของที่นำมาจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นเทียนพรรษา เครื่องสังฆทาน และอื่น ๆ ยังคงขายในราคาเท่าเดิม โดยราคาจำหน่ายเทียนพรรษาในปีนี้เบอร์ 3 คู่ละ 350 บาท ส่วนเบอร์เพิ่มอื่น ๆ จะเพิ่มขึ้นเบอร์ละ 100 บาท เครื่องสังฆทาน ถังละ 90 บาท ถึง 300 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดสิ่งของ จะขึ้นราคาเพียงเล็กน้อยประมาณ 5 % ของราคาเดิม ตามร้านต่าง ๆ มีการติดป้ายแสดงราคาสิ่งของที่บรรจุอยู่ในถังสังฆทานทุกถัง และแสดงวันหมดอายุด้วย





สุระพงค์ สวัสดิ์ผล /ข่าว

ชาวชัยภูมิคืนความรักสู่ธรรมชาติ จัดพิธีแต่งงานกบ อึ่ง เต่า ก่อนปล่อยสู่เขตอภัยทาน

องค์การบริหารส่วนตำบลหนองข่า อ.เกษตรสมบูรณ์ จัดโครงการคืนความรักศุ่ธรรมชาติ จัดพิธีแต่งงานให้กับกบ อึ่งอ่าง เต่า และสัตว์นานาชนิด ก่อนปล่อยลงสู่เขตอภัยทาน เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับธรรมชาติ
 
การจัดงานครั้งนี้ จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 5 นายซีกวน ฤาชา นายก อบต.หนองข่า อ.เกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ จัดขึ้นเมื่อ วันที่ 12 ก.ค. 56 ณ บริเวณป่าชุมชนภูกระแต วัดบ้านโนนศิลา ต.หนองข่า อ.เกษตรสมบูรณ์ มีนายสนอง มะลัยขวัญ ปลัดอำเภอเกษตรสมบูรณ์เป็นประธาน โดยชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบป่าภูกระแต ได้พร้อมใจกันแห่ขบวนขันหมากเจ้าบ่าว เจ้าสาว เพื่อมาร่วมพิธีบายศรี สู่ขวัญ ตามประเพณีเหมือนพิธีแต่งงานคนทุกประการ แต่ตัวเจ้าบ่าว เจ้าสาว กลับเป็นกบ อึ่งอ่าง เต่า และสัตว์นานาชนิด เลือกคู่ที่สมบูรณ์เข้าพิธี หลังหมอพรามณ์ทำพิธีเสร็จ ได้นำสัตว์ที่เป็นคู่เจ้าบ่าว เจ้าสาว ไปปล่อย ในเขตอภัยทาน ซึ่งสร้างเป็นเรือนหอ ทำด้วยฟางข้าว ริมหนองน้ำ ร่วมกับสัตว์ตัวอื่นๆ ที่ชาวบ้าน ต่างนำมาปล่อยคนละ คู่ 2 คู่ เป็นภาพที่น่าชื่นชม ที่เห็นความเอื้ออาทรของผู้คน ที่มีต่อสัตว์ หยุดล่าเป็นอาหาร และนำมาปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ให้ขยายพันธุ์ เพิ่มจำนวนมากขึ้น ถือเป็นการคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับธรรมชาติ และเป็นสิ่งกระตุ้นเตือนให้เกิดการอนุรักษ์และหวงแหนป่าไม้ ซึ่งเป็นร่มเงาให้กับสัตว์เหล่านี้ได้อยู่อาศัย โดยผู้ที่นำสัตว์มาร่วมโครงการ จะมีการลงทะเบียนไว้ทุกราย ระบุชื่อคนและชื่อสัตว์ที่นำมาปล่อย พร้อมมอบใบทะเบียนสมรสให้กับเจ้าของ เก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย
 
นายซีกวน ฤาชา นายก อบต.หนองข่า อ.เกษตรสมบูรณ์ กล่าวว่า โครงการนี้เกิดขึ้น เนื่องจาก ทาง อบต.เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ที่ผ่านมา เราใช้ทรัพยากร ทั้งที่เป็นดิน น้ำ อากาศ มากกมาพอแล้ว ควรที่จะคืนให้กับธรรมชาติบ้าง โดยหันมาช่วยกันอนุรักษ์กบ เขียด อึ่งอ่าง เต่า รวมถึงปลูกต้นไม้ เพิ่มพื้นที่ป่า ตามนโยบาย ปล่อย ปลูก สุขใจ เทิดไท้องค์ราชัน อยากจะขอเชิญชวนชาวไทยทุกท่าน มาช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อคงความอุดมสมบูรณ์ไว้ เป็นสมบัติให้กับลูกหลาน คู่กับโลกใบนี้สืบต่อไป




สุระพงค์ สวัสดิ์ผล /ข่าว

จังหวัดขอนแก่นจัดประชุมนานาชาติจับคู่ธุรกิจถนนสายไหมลุ่มน้ำโขง รวมทั้งการหารือกรอบความร่วมมือระหว่างมณฑลยูนนานของจีน และจังหวัดขอนแก่น

จังหวัดขอนแก่นจัดงานใหญ่รับการเป็นเมืองแห่งการประชุมสัมมนาระดับประเทศ ในภูมิภาคโดยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมนานาชาติ แม่โขง ฟอรั่ม 2013 (Mekong Forum 2013)เป็นการประชุมสัมมนานานาชาติและจับคู่ธุรกิจ หัวข้อ ถนนสายไหมลุ่มน้ำโขง ในกลุ่มประเทศ 6 ประเทศลุ่มน้ำโขง จีน ลาว กัมพูชา เวียดนาม ไทย พม่านอกจากนั้นทางสถานทูตหลายประเทศในยุโรปรวมทั้งออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ก็จะส่งเจ้าหน้าที่มาสังเกตการณ์การประชุมจับคู่ธุรกิจ แม่โขง ฟอรั่มในครั้งนี้ด้วยโดยจัดที่โรงแรมเซนทรารา คอนเวนชั่น เซนเตอร์ขอนแก่น การสัมมนาครั้งนี้เป็นการประชุมเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ของประเทศในลุ่มน้ำ โขงที่มีสถานบันลุ่มน้ำโขงที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นศูนย์เชื่อม และประสานทั้ง 6 ประเทศ นอกจากนี้ยังมีการประชุมนอกรอบหารือความร่วมมือระหว่าง มิสเตอร์เกา ซูหลัน รองผู้ว่าการมณฑลยูนนานประเทศจีนและนายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นนำคณะร่วมหารือเพื่อประสานความสัมพันธ์สู่ความ เป็นเมืองพี่เมืองน้องกันเพราะยูนนานมีสภาพภูมิอากาศรวมทั้งขนบธรรมเนียม ประเพณีที่คล้ายกับเมืองไทยมีชนเผ่าไทลือที่มีประเพณีวัฒนธรรมแบบเมืองไทย และพูดภาษาไทยได้ด้วยโดยการหารือครั้งนี้ทางรองผู้ว่าการมณฑลยูนนานต้องการ ประสานความร่วมมือกับจังหวัดขอนแก่นในด้านการขนส่ง การท่องเที่ยว การพัฒนาเทคโนโลยีและความร่วมมือด้านการศึกษาและวัฒนธรรมพร้อมทั้งการติดต่อ ระหว่าง 2 เมืองในแบบความสัมพันธ์พี่น้องทางผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นก็ยินดีให้ความ ร่วมมือทุกด้านและหากโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเมืองไทยมีการก่อสร้าง รถไฟความเร็วสูงเชื่อมระหว่างมณฑลยูนนานของจีนมายังเมืองไทยไปผ่านมาเลเซีย ไปถึงสิงคโปร์การคมนาคมขนส่งระหว่างสองเมืองก็จะสะดวกขึ้นรวมทั้งการขนส่ง สินค้าด้วยซึ่งตอนนี้ทั้งสองเมืองก็มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษาของไทยจาก ขอนแก่นไปศึกษาด้านสาธารณสุขและแพทย์แผนไทยที่ยูนนานและทางยูนนานก็ส่งนัก ศึกษาด้านการเกษตรมาเรียนที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นด้วยด้วยในโอกาสนี้ทางรองผู้ ว่าการมณฑลยูนนานก็เชิญผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นนำคณะไปเยือนมณฑลยูนนาน ด้วยไปเยือนหลายเมืองที่มีความคล้ายกับเมืองไทยมากๆและในด้านการค้าการลงทุน เศรษฐกิจของยูนนานก็เติบโต 13 %มีเม็ดเงินกว่า 160,000 ล้านดอลล่าถือว่าเติบโตเป็นอันดับ 4 ของประเทศจีนด้วย 

สถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ สำนักการพยาบาล กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขจัดงานมหกรรมสุขภาพเพื่อผู้สูงอายุเฉลิมพระเกียรติในหลวงที่ขอนแก่น

นายแพทย์นันทศักดิ์ ธรรมานวัตร์ ผู้อำนวยการ สถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ สำนักการพยาบาล กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานเปิดงานมหกรรมสุขภาพเพื่อผู้สูงอายุเฉลิมพระ เกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระชนมายุ 86 พรรษา ซึ่งจัดที่โรงแรมพูลแมนขอนแก่น ภายในงานมหกรรมสุขภาพเพื่อผู้สูงอายุเฉลิมพระเกียรติฯ มีการจัดเสวนาเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านสาธารณสุข อาสาสมัครชุมชน อสม. แกนนำชุมชนและผู้เกี่ยวข้องการ จัดบริการให้ความรู้และนิทรรศการสำหรับผู้สูงอายุประสบภัยจากมลพิษและภัย ธรรมชาติตามระดับของภาวะสุขภาพ การตรวจสุขภาพทั่วไป การฟื้นฟูสมรรถภาพตามระดับของภาวะสุขภาพ การสนับสนุนอุปกรณ์ในการรักษาพยาบาล และเครื่องช่วยเหลือความพิการในผู้สูงอายุ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ โดยการสนับสนุนสื่อส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุมีกิจกรรมเพื่อสุขภาพ นิทรรศการให้ความรู้ การประเมินสุขภาพผู้สูงอายุ การให้คำแนะนำต่าง ๆ กิจกรรมฝึกสมอง กิจกรรมบนเวที เพื่อเป็นการกระตุ้นให้บุตรหลานหรือผู้ใกล้ชิดเห็นความสำคัญของการดูแลและ ใส่ใจสุขภาพผู้สูงอายุ เช่น การแสดงบนเวทีจากชมรมผู้สูงอายุ จัดกิจกรรมหรืองานอดิเรกสำหรับผู้สูงอายุ ตามหลักปรัชญามอนเตสซอรี่ การดำเนินการดังกล่าวมุ่งหวังที่จะให้ผู้สูงอายุเข้าถึงบริการตรวจสุขภาพ ประจำปี เพื่อคัดกรองโรคและฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงอายุ และปลูกฝังค่านิยมในเรื่องของการให้ความสนใจและใส่ใจสุขภาพของผู้สูงอายุแก่ ครอบครัว และผู้ใกล้ชิด การจัดนิทรรศการให้ความรู้ด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ การให้คำปรึกษาแก่ผู้สูงอายุโดยผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ รวมถึงรณรงค์ให้เห็นคุณค่าและเชิดชูเกียรติผู้สูงอายุในสังคม และเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุได้รับทราบถึงข้อมูลข่าวสารและวิทยาการทางการ แพทย์ อันจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุต่อไป สำหรับกลุ่มเป้าหมาย ผู้สูงอายุ ใน จังหวัด ขอนแก่นนครพนม อุดรธานีและร้อยเอ็ดรวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอาสาสมัครชุมชน และ อสม. ก็มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ผลที่คาดว่าจะได้รับคือผู้สูงอายุมีความพร้อม ป้องกันรักษาสุขภาพรวมทั้งหมั่นตรวจสุขภาพประจำปี ประชาชนทั่วไปก็ดูแลพ่อแม่สนใจคนสูงอายุ ทางโรงพยาบาลก็ต้องเตรียมเครื่องมือทางการแพทย์ไว้ให้พร้อม ที่สำคัญประชาชนต้องตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาสุขภาพในผู้สูงอายุและมี ส่วนร่วมให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นก่อนถึงปี2564 ซึ่งประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบและทางรัฐบาลก็มีการเตรียม ความพร้อมให้กับผู้สูงอายุได้รับมือไว้แล้วไม่ว่าโครงการประกันสุขภาพ โครงการเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุทุกเดือนรวมทั้งโครงการสร้างอาชีพให้ผู้สูง อายุด้วยและจะมีโครงการดีออกมาอีกเพื่อผู้สูงอายุ      

เทศบาลตำบลยางตลาดจัดโครงการถนนสายบุญเดือนละ 1 ครั้ง

นายเกรียงไกร ภูมิเหล่าแจ้ง นายกเทศมนตรีตำบลยางตลาด เปิดเผยว่า เทศบาลตำบลยางตลาด ร่วมกับ ส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในเขตเทศบาลตำบลยางตลาด ได้กำหนดจัดโครงการถนนสายบุญ ตักบาตรพระสงฆ์ 49 รูป บริเวณข้างบ้านพักนายอำเภอยางตลาด ตลอดสายถนนคนเดิน เขตเทศบาลตำบลยางตลาด กำหนดจัดเดือนละ 1 ครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ร่วมกันจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ด้วยการบำเพ็ญกุศลตักบาตรพระสงฆ์อันเป็นประเพณีของพุทธศาสนิกชน ในการที่จะทำนุบำรุง ศาสนบุคคลเพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนาให้มีความรุ่งเรือนและมีความมั่นคงถาวร สืบไป โดยได้กำหนดจัดโครงการถนนสายบุญในวันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม 2556, วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม 2556, วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2556 ดังนั้น จึงขอเชิญชวนประชาชน พุทธศาสนิกชนชาวอำเภอยางตลาด ร่วมทำบุญตักบาตร ได้ตามวัน เวลา สถานที่ดังกล่าว



ดวงใจ หงษ์จันทร์ / ข่าว

ขอเชิญชาวกาฬสินธุ์ร่วมบันทึกความดีปลูกป่า 800 ล้านกล้า 80 พรรษามหาราชินี

สำนักงานประชาสัมพันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้รับแจ้งจากนายบุญชอบ สุทธมัสวงษ์ อธิบดีกรมป่าไม้ ว่า ด้วยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดทำโครงการประชาอาสาปลูกป่า 800 ล้านกล้า 80 พรรษา มหาราชินี เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2556 เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดี และสำนักในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงให้ความสำคัญกับป่าไม้มาโดยตลอด โดยมีเป้าหมายปลูกต้นไม้ทั่วประเทศ เฉลิมพระเกียรติน้อมเกล้าฯ ถวาย จำนวน 800 ล้านกล้า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2555-2560 ดังนั้น กรมป่าไม้ จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยและชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ ปลูกต้นไม้ตามโครงการประชาอาสาปลูกป่า 800 ล้านกล้า 80 พรรษา มหาราชินี และร่วมบันทึกความทรงจำกิจกรรมดี ๆ ที่ท่านได้ปลูกต้นไม้ รวมเป็น 1 ใน 800 ล้านกล้า ถวายพระแม่ของแผ่นดิน โดยลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการและบันทึกภาพถ่ายการปลูกต้นไม้ของท่านไว้ เป็นประวัติศาสตร์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและ Download ข้อมูลได้ที่เว็บไซด์ กรมป่าไม้ www.forest.go.th หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-5614292-3 ต่อ 5546 และหรือที่สายด่วนกรมป่าไม้ 1310 กด 3 ในวันและเวลาราชการ




ดวงใจ หงษ์จันทร์ / ข่าว

กาฬสินธุ์เตือนผู้ค้ำประกันเช่าซื้อรถยนต์อาจตกเป็นผู้ต้องหาหรือรับผิดชอบร่วม

นายประเสริฐ ลือชาธนานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้แจ้งว่า ด้วยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคแจ้งว่าได้มีการบังคับใช้ประกาศคระ กรรมการว่าด้วยสัญญา ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พงศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 2) พ.ศ.251 จำนวน 3 เรื่อง ประกอบด้วย ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่องให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถ จักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.2555 (มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นไป) ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่อง ให้ธุรกิจบัตรเครดิตเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2556 (มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2556 เป็นต้นไป) และประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้บริการจัดสรรเวลาเข้าใช้สถานที่พักเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.2556 (มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 เป็นต้นไป) เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองผู้บริโภค 

รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้กล่าวว่า สำหรับผู้ค้ำประกันก่อนที่จะลงนามในสัญญาค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันควรอ่านและตรวจสอบรายละเอียดของสัญญาค้ำประกันให้เข้าใจโดย ชัดเจน หากผู้ค้ำประกัน มีข้อสงสัย ใด ๆ ควรปรึกษาผู้มีความรู้ก่อนที่จะทำสัญญาค้ำประกันเพราะผู้ค้ำประกันจะมีความ รับผิดต่อผู้ให้เช่าซื้อในสาระสำคัญดังนี้ ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดชอบต่อผู้ให้เช่าซื้อจนกว่าหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อจะ ระงับสิ้นไป, จะต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่าซื้อภายในวงเงินที่ผู้เช่าซื้อค้างชำระกับผู้ให้ เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อ และอาจต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยหรือค่าสินไหมทดแทนอื่น ๆ อีกด้วย, ต้องรับผิดชอบร่วมกับผู้เช่าซื้อ, เมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระหนี้ ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิเรียกร้องและบังคับให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ทั้งหมดที่ ผู้เช่าซื้อค้างชำระโดยผู้ให้เช่าซื้อไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหรือบังคับจาก ผู้เช่าซื้อก่อน, ผู้ค้ำประกันไม่หลุดพ้นจากความรับผิดชอบแม้ผู้ให้เช่าซื้อยอมผ่อนเวลาให้แก่ ผู้เช่าซื้อ นอกจากนี้ผู้ค้ำประกันยังมีหน้าที่และความรับผิดชอบต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในสัญญาค้ำประกันด้วย จึงขอฝากถึงพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ ให้ระมัดระวังในการค้ำประกันเช่าซื้อต่างๆ ด้วย




สุรพล คุณภักดี / ข่าว

กสทช. ประกาศรายชื่อ 926 สถานีวิทยุที่สิ้นสิทธิการยื่นขออนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง พ.ศ. 2555

สำนักงานคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทร คมนาคมแห่งชาติหรือ กสทช. ประกาศรายชื่อ 926 สถานีวิทยุที่สิ้นสิทธิการยื่นขอทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง พ.ศ. 2555 ของ กสทช. เนื่องจากไม่ยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่กำหนด

นายสมพงษ์ ปัตตานี ประชาสัมพันธ์จังหวัดมหาสารคามเปิดเผยว่าได้รับแจ้งจากนายสมบัติ ลีลาพตะผู้อำนวยการกลุ่มงานกฎหมายกระจายเสียงและโทรทัศน์ สำนักงานคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช. คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ (กสท) ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2556 และมีมติประกาศรายชื่อสถานีวิทยุที่สิ้นสิทธิการยื่นขอทดลองประกอบกิจการตาม ประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์การอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง พ.ศ. 2555 ข้อ 7 รวมจำนวน 926 สถานี เนื่องจากไม่ไปยืนคำขอภายในระยะเวลาที่ กสทช.กำหนดในประกาศ โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อสถานีวิทยุ 926 สถานีที่สิ้นสิทธิในการยื่นขอทดลองออกอากาศได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงาน กสทช. www.nbtc.go.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงาน กสทช. 02-2717600ต่อ 5110,5112,5114  


ประชาสัมพันธ์จังหวัดมหาสารคามยังเปิดเผยเพิ่มเติมต่อไปว่าสำหรับสถานีวิทยุ ที่สิ้นสิทธิการยื่นขอทดลองประกอบกิจการตามประกาศของ กสทช. จะต้องยุติการออกอากาศโดยทันที มิฉะนั้นสำนักงาน กสทช.จำเป็นต้องดำเนินตามกฎหมายต่อไปทั้งนี้สถานีวิทยุดังกล่าวสามารถอุทรณ์ ผลการพิจารณาต่อ กสท.ได้ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับทราบประกาศนี้



ส.ปชส.มหาสารคาม/ข่าว

กสทช.ประกาศให้สถานีวิทยุที่เปิดดำเนินการก่อน 24 กรกฎาคม 2552 และไม่มีสิทธิ์ขออนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงไปยื่นความประสงค์ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง

กสทช.ประกาศให้สถานีวิทยุที่เปิดดำเนินกิจการก่อนวันที่ 24 กรกฎาคม 2552 และไม่มีสิทธิ์ขออนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงไปยื่นความประสงค์ ขอประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงได้ภายในวันที่ 24 กรกฎาคม 2556
 
นายสมพงษ์ ปัตตานี ประชาสัมพันธ์จังหวัดมหาสารคามเปิดเผยว่าได้รับแจ้งจากนายสมบัติ ลีลาพตะผู้อำนวยการกลุ่มงานกฎหมายกระจายเสียงและโทรทัศน์ สำนักงานคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช.ว่าที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์หรือ กสท. เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2556 มีมติเห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาของกลุ่มสถานีวิทยุที่ไม่มีสิทธิ์ยื่นคาขอ ทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงตามประกาศของ กสทช.เรื่องหลักเกณฑ์การอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง พ.ศ. 2555 โดยกำหนดให้สถานีวิทยุที่ดำเนินการอยู่ก่อนวันที่ประกาศคณะกรรมการกิจการโทร คมนาคมแห่งชาติ กทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตแระกอบกิจการบริการชุมชนชั่วคราวมีผลใช้ บังคับคือก่อนวันที่ 24 กรกฎาคม 2552 ให้เข้ามาแจ้งความประสงค์ต่อสำนักงาน กสทช. ด้วยตนเอง ณ สำนักงาน กสทช.ส่วนกลางหรือสำนักงาน กสทช.ส่วนภูมิภาคทั่วประเทศภายในวันที่ 24 กรกฎาคม 2556 โดยจะต้องแสดงเอกสารและหลักฐานประกอบการแจ้งความประสงค์ให้ครบถ้วนตามที่ กสทช.กำหนดภายในวันที่ 8 สิงหาคม 2556
 

ประชาสัมพันธ์จังหวัดมหาสารคามกล่าวเพิ่มเติมว่าส่วนรายละเอียด คุณสมบัติของสถานีวิทยุที่แจ้งความประสงค์จะประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิธีการแจ้งความประสงค์ เอกสารหลักฐานประกอบการแจ้งความประสงค์และขั้นตอนการดำเนินการ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงาน กสทช.กลุ่มงานการอนุญาตประกอบกิจการ 1 โทรศัพท์ 02-2717600 ต่อ 5110 , 5112 , 5114



ส.ปชส.มหาสารคาม/ข่าว

จังหวัดมุกดาหารจัดประชุมคณะกรรมการเตรียมพร้อมจัดงาน “ออนซอนมูนมังวัฒนธรรมสามแผ่นดิน”

วันนี้ (๑๒ ก.ค. ๕๖) ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัด มุกดาหาร นายสกลสฤษฏ์ บุญประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานโครงการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับ ประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้ชื่องาน "ออนซอนมูนมังวัฒนธรรมสามแผ่นดิน” วัตถุประสงค์เพื่อจัดแสดงทางวัฒนธรรมของ กลุ่มชาติพันธ์ต่างๆ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้แก่ นักเรียน นักศึกษา ประชาชนโดยทั่วไป รวมทั้งเป็นการเชื่อมกระชับความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้านรวมทั้ง เป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ด้านการค้าการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของกลุ่มจังหวัด กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๖-๒๘ กรกฏาคม ๒๕๕๖ ณ สวนสาธารณเฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก เทศบาลเมืองมุกดาหาร อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร

นายปราโมทย์ ชาวเมืองโขง วัฒนธรรมจังหวัดมุกดาหาร กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอดห้วงระยะเวลาการจัดงาน ได้มีการจัดแสงดวิถีชีวิต จัดนิทรรศการเกี่ยวกับวัฒนธรรมชนเผ่าจังหวัดมุกดาหาร ออกร้านจำหน่ายสินค้าของแต่ละชนเผ่า การแสดงศิลปวัฒนธรรม จากจังหวัดสกลนคร นครพนม จากแขวงสะหวันนะเขต และจากเวียดนาม ที่สำคัญในวันเปิดงาน มีการแสดงประกอบแสง –เสียง กำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ (ตำนานแถนหลวง-น้ำเต้าปุง)วัฒนธรรมจังหวัดมุกดาหาร ขอเชิญชวนประชาชนทั่วไป นักท่องเที่ยว ร่วมย้อนอดีตเที่ยวชมงาน "ออนซอนมูนมังวัฒนธรรมสามแผ่นดิน”กับจังหวัดมุกดาหาร ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๘ กรกฏาคม ๒๕๕๖



สุภาวดี อัมไพพันธ์ ส.ปชส.มุกดาหาร/ข่าว

สุระณรงค์ อ่อนสนิท/ภาพ

ผู้เข้ารับการบำบัดฟื้นฟูโรงเรียนวิวัฒน์พลเมืองฝ่ายปกครอง จ.มุกดาหารจุดเทียนอุดมการณ์

เมื่อค่ำวานนี้ 11 ก.ค. 56 ที่กองร้อยอาสารักษาดินแดนที่1จังหวัดมุกดาหาร นายจิรพงษ์ แก้วมณี นายอำเภอเมืองมุกดาหาร ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอำเภอเมืองมุกดาหาร พร้อมด้วย คณะครูฝึก และวิทยากร จากโรงเรียนวิวัฒน์พลเมืองฝ่ายปกครองอำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ได้นำผู้เข้ารับการบำบัดฟื้นฟูยาเสพติด จำนวน 60 คน ร่วมประกอบพิธีจุดเทียนอุดมการณ์ พร้อมทั้งปฏิญาณตน ในการเลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดตลอดจนอบายมุขทุกชนิด เพื่อพร้อมที่จะกลับเข้าสู่สังคมซึ่งเป็นกำลังพัฒนาประเทศชาติต่อไป โดยมีนายสรสิทธิ์ ฤทธิ์สรไกร รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เป็นประธานในพิธี ซึ่งพิธีจุดเทียนอุดมการณ์ในวันนี้ จะช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้เข้ารับการบำบัดฟื้นฟูยาเสพติด ซึ่งตามความเชื่อมาแต่โบราณว่า การจุดเทียนอุดมการณ์เป็นกุศโลบายในการสร้างแสงให้กับชีวิต

หลังจากที่เจอเรื่องราวที่เลวร้ายมาจนกระทั่งมาพบแสงสว่าง และเข้าใจในสัจธรรมของชีวิต หลังจากพิธีจุดเทียนอุดมกราณ์แล้วนายสรสิทธิ์ ฤทธิ์สรไกร รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ได้มอบเกียรติบัตรพร้อมให้โอวาทแก่ผู้เข้าร่วมโครงการว่า ขอให้ทุกคนที่มาเข้าค่ายในครั้งนี้ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด นอกจากนี้ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาในการแจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่เพื่อปราบ ปรามยาเสพติดให้หมดไปจากจังหวัดมุกดาหาร ทั้งนี้ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินตรวจสอบ ดูแลติดตามผลของผู้ที่เข้ารับการเข้าค่ายในครั้งนี้ รวมถึงการป้องกันและปราบปรามอย่างเข้มงวดต่อไป




พิพัฒน์ เพชรสังหาร ส.ปชส.มุกดาหาร/ข่าว

สุระณรงค์ อ่อนสนิท ส.ปชส.มุกดาหาร/ภาพ

จังหวัดมุกดาหารประกวดคัดเลือกสำนักงานเกษตรจังหวัดดีเด่น ระดับประเทศ

ที่ห้องประชุมสำนักงานเกษตร จังหวัดมุกดาหาร นายสรสิทธิ์ ฤทธิ์สรไกร รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เป็นประธานกล่าวต้อนรับ คณะกรรมการประกวด คัดเลือก สำนักงานเกษตรจังหวัดดีเด่น ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรมีนโยบายให้ดำเนินการประกวดคัดเลือกหน่วยงานดีเด่น ประจำปี 2556

นายร่มไม้ นวลตา เกษตรจังหวัดมุกดาหาร กล่าวว่า การคัดเลือกสำนักงานเกษตรจังหวัดดีเด่น วัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่บุคลากรของกรมส่งเสริมการ เกษตรและกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาหน่วยงานให้น่าอยู่ น่าทำงาน มีประสิทธิภาพ สำหรับสำนักงานเกษตรจังหวัดมุกดาหาร ได้ผ่าน การคัดเลือกเป็นหน่วยงานดีเด่น ระดับเขต และได้เป็นตัวแทนเขตเข้าร่วมประกวดคัดเลือกเป็นหน่วยงานดีเด่นระดับประเทศ ประจำปี2556



สุภาวดี อัมไพพันธ์ ส.ปชส.มุกดาหาร/ข่าว 

กสทช.แจ้งแนวทางการแก้ไขปัญหาวิทยุชุมชนที่ไม่มีสิทธิขออนุญาตทดลองประกอบกิจการ

นายแสงทอง อนันตภักดิ์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดมุกดาหาร เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ครั้งที่ 25/2556 เมื่อวันจันทร์ที่ 8กรกฎาคม2556มีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไชปัญหาของกลุ่มสถานีวิทยุที่ไม่มี สิทธิขออนุญาตทดลองประกอบกิจการการวิทยุกระจายเสียงตามประกาศ กสทช.เรื่อง หลักเกณฑ์การอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง พ.ศ.2556โดยกำให้ผู้ประสงค์ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงเข้ามาแจ้งความ ประสงค์ต่อสำนักงาน กสทช.ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสำรวจข้อมูลและจำนวนของสถานีวิทยุที่อยู่นอกระบบการกำกับดูแล ของ กสทช.

โดยจะต้องเป็นผู้ดำเนินการในลักษณะการให้บริการวิทยุกระจายเสียงอยู่ก่อนวัน ที่ประกาศ กทช.เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตประกอบกิจการชุมชนชั่วคราว (วิทยุกระจายเสียง ชุมชน) มีผลใช้บังคับ(ก่อนวันที่ 28กรกฎาคม 2556)ผู้แจ้งความประสงค์ฯ ต้องยื่นแบบแจ้งความประสงค์ตามที่คณะกรรมการกำหนด ด้วยตนเอง ณ สำนักงาน กสทช.ส่วนกลางหรือสำนักงาน กสทช.ส่วนภูมิภาค ภายในวันที่ 24กรกฎาคม2556 โดยจะยื่นเอกสารหลักฐานประกอบการแจ้งความประสงค์ ให้ครบถ้วนภายในวันที่8สิงหาคม2556ทั้งนี้ผู้แจ้งความประสงค์ไม่สามารถยื่น คำร้องขอขยายระยะเวลาได้ในทุกกรณี และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงาน กสทช. (กลุ่มงานการอนุญาตประกอบกิจการ 1) โทร 02271-7600 ต่อ 5110 , 5112 หรือ 5114





สุภาวดี อัมไพพันธ์ ส.ปชส.มุกดาหาร/ข่าว

จังหวัดมุกดาหารเตรียมพร้อมพิธีถวายจำนำเทียนพรรษาในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประจำปี 2556

นายสกลสฤษฏ์ บุญประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เปิดเผยว่า ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ได้พระราชทานเทียนจำนำพรรษาแก่วัดในจังหวัดทั่วประเทศ เนื่องในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ประจำปี 2556เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และจังหวัดมุกดาหารได้กำหนดจัดพิธีถวายเทียนจำนำพรรษาในทูลกระหม่อมหญิงอุบล รัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ขึ้นในวันจันทร์ที่ 22กรกฎาคม 2556 เวลา 18.00 น. ณ วัดศรีบุญเรือง อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร

ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ขอเชิญชวน พุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดมุกดาหาร ร่วมพิธีถวายเทียนจำนำพรรษา พระราชทานในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี โดยพร้อมเพรียงกัน



สุภาวดี อัมไพพันธ์ ส.ปชส.มุกดาหาร/ข่าว 

จังหวัดมุกดาหาร จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัยและดินโคลนถล่ม ปี 2556

นายสกลสฤษฏ์ บุญประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เปิดเผยว่า ช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี เป็นช่วงเริ่มต้นและสิ้นสุดฤดูฝน ในช่วงดังกล่าวจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากและอาจเกิดพายุก่อตัวขึ้นได้ทุกโอกาส โดยเฉพาะจังหวัดมุกดาหารเป็นจังหวัดที่มีสภาพเป็นที่ราบสูง และอยู่ในบริเวณปลายของสายน้ำหลักที่สำคัญได้แก่ ห้วยชะโนด ห้วยมุก ห้วยบางทราย ห้วยบังอี่ สภาพดังกล่าวหากมีฝนตกหนักติดต่อกันในทุกพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แล้ว จังหวัดมุกดาหาร โดยเฉพาะบริเวณใกล้กับลำห้วยต่างๆ ดังกล่าว อาจจะประสบกับปัญหาน้ำเอ่อล้นตลิ่งท่วมบ้านเรือนราษฎรได้

ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหา อุทกภัย วาตภัยและดินโคลนถล่ม และการให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ประสบอุทกภัยได้ทันท่วงทีทันต่อเหตุการณ์ จังหวัดมุกดาหาร จึงได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัยและดินโคลนถล่ม ปี 2556จังหวัดมุกดาหารขึ้น ณ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดมุกดาหาร โทร 042-633101




สุภาวดี อัมไพพันธ์ ส.ปชส.มุกดาหาร/ข่าว 

ยโสธรแถลงข่าวโต้สารตกค้างในข้าวเพื่อรักษาชื่อเสียงข้าว

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 12 กรกฏาคม 2556 ที่ห้องยศสุนทร ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดยโสธร นายประวัติ ถีถะแก้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร พร้อมด้วย นายปิยวัฒน พันธ์สายเชื้อ สส.ยโสธร เขต.1 พรรคเพื่อไทย นายบุญแก้ว สมวงศ์ สส.เขต.2 ยโสธร พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยกลุ่มชมรมโรงสีข้าวจังหวัดยโสธร ตลอดจนเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลกรณี เนื่องจากมีข่าวสารที่ส่งต่อกันทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค จนปรากฏเป็นข่าวใหญ่ทางหน้าหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับจังหวัดยโสธร

นายประวัติ ถีถะแก้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร เปิดเผยว่า เนื่องจากปัจจุบันมีข่าวสารที่ส่งต่อกันทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค จนปรากฏเป็นข่าวใหญ่ทางหน้าหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับจังหวัดยโสธร ในกรณีที่มีข่าวว่า ข้าวของผู้ประกอบการโรงสีในจังหวัดยโสธร มีสารเคมีตกค้างที่ไม่สามารถละลายในน้ำได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้ ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ จังหวัดยโสธร สภาอุตสาหกรรมจังหวัดยโสธร หอการค้าจังหวัดยโสธร และชมรมโรงสีข้าวจังหวัดยโสธร ตลอดจนคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดยโสธร ได้ออกตรวจสอบและจัดเก็บตัวอย่างข้าวเปลือกและข้าวสารของทุกโรงสี และข้าวถุงในห้างสรรพสินค้าทุกแห่งในจังหวัด เพื่อส่งไปตรวจสอบสารเคมีตกค้างด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อพิสูจน์ว่า ข้าวที่ผลิตและจำหน่ายในจังหวัดยโสธร ไม่มีสารเคมีตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค ตามที่เป็นข่าวเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงข้าวของจังหวัดยโสธร และให้ผู้บริโภคได้มีความสบายใจ และมั่นใจในคุณภาพข้าวที่ผลิตและจำหน่ายในจังหวัดยโสธร

ส่วนทางด้านนาย จ่าวพงษ์ ภูมิพาณิชย์ ประธานชมรมโรงสีข้าวจังหวัดยโสธร กล่าวว่าผู้ประกอบการโรงสีทุกโรงสีในจังหวัดยโสธร ขอยืนยันว่า ข้าวในจังหวัดยโสธรไม่มีสารพิษตกค้างแต่อย่างใด ไม่มีใครที่จะทำลายอาชีพตัวเองและเพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวหา ผมและเพื่อนโรงสีทุกโรง ยินดีและเต็มใจพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ของภาครัฐทุกหน่วยงาน พร้อมทั้งสื่อมวลชนเข้าไปตรวจสอบและจัดเก็บตัวอย่างข้าว ไปตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ เพื่อพิสูจน์ว่าข้าวของจังหวัดยโสธรไม่มีสารพิษตกค้างแต่อย่างใด

ทางด้านนายปิยวัฒน พันธ์สายเชื้อ สส.พรรคเพื่อไทย เขต.1ยโสธร กล่าวว่า ตามที่เป็นข่าวทำให้ข้าวของจังหวัดยโสธรได้รับความเสียหาย จึงขอให้ นายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ขอโทษชาวจังหวัดยโสธรเพราะทำให้ชื่อเสียงข้าวหอมมะลิของชาวยโสธร



 

ส.ปชส.ยโสธร/ปิยะนุช    12  ก.ค.56

กกท.ศรีสะเกษ แถลงข่าว การแข่งขัน “วิทยุการบินฯ มินิวอลเลย์บอล ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี รอบคัดเลือกระดับจังหวัด ประจำปี 2556

วันนี้ (11 ก.ค. 56) หอประชุมสำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทยศรีสะเกษ(กกท.) อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ นายวุฒิชัย ชัยกิต ผู้อำนวยการศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดศรีสะเกษ ร่วมกับ นายสังข์สิทธิ์ ผู้จัดการงานบริหารทั่วไป สำนักงานวิทยุการบินแห่งประเทศไทยจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วยคณะ และโค้ต ผู้ฝึกสอบ ร่วมแถลงข่าวการแข่งขัน "วิทยุการบินฯ มินิวอลเลย์บอล ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี รอบคัดเลือกระดับจังหวัด ประจำปี 2556 พร้อมกับจับฉลากแบ่งสาย ซึ่งศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดศรีสะเกษ, สมาคมกีฬาจังหวัดศรีสะเกษ ร่วมกับบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ได้จัดขึ้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริม และสนับสุนนการกีฬาตามนโยบายของรัฐบาลและบริษัทฯ เป็นการกระจายโอกาสให้ยุวชนที่ด้อยโอกาสในการได้รับการส่งเสริมและสนับสนุน ด้านกีฬาให้ได้แสดงออกถึงความสามารถด้านกีฬาวอลเลย์บอล และเป็นการเสริมสร้างสุขภาพพลานามัย คุณธรรม จริยธรรม ความมีระเบียบวินัย ความมีน้ำใจนักกีฬา การรู้จักหน้าที่ มีความซื่อสัตย์ มีความรับผิดชอบและรู้จักทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ เพื่อเป็นการส่งเสริม และสนับสนุนให้ยุวชนได้มีโอกาสเข้าร่วม และได้รับประสบการณ์จากการแข่งขันในระดับประเทศ

สำหรับการจัดการแข่งขันในครั้งนี้ เป็นการแข่งขันรอบแรก "รอบคัดเลือกระดับจังหวัด” โดยมีทีมนักกีฬาที่สมัครเข้าร่วมทำการแข่งขันทั้งสิ้น 28 ทีม แบ่งออกเป็นทีมหญิง 15 ทีม ทีมชาย 13 ทีม ทำการแข่งขันในระหว่างวันที่ 15 – 19 กรกฏาคม 2556 ณ อาคารศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติฯ โรงเรียนสตรีสิริเกศ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ โดยจะมีพิธีเปิดในวันที่ 15 กรกฎาคม 2556 เวลา 10.00 น. คู่เปิดสนาม ระหว่างทีมโรงเรียนบ้านโพนทรายโนนเรือ พับกับทีมโรงเรียนบ้านเห็นอ้ม


ส่วนการจัดการแข่งขัน รอบแรก แบ่งออกเป้น 4 สาย จัดารแข่งขันแบบพบกันหมด รอบสอง แพ้คัดออก และรางวัลทีมชนะเลิศ ได้รับทุนการศึกษา 4,000 บาท พร้อมโล่ เหรียญรางวัล เกียรติบัตร และอุปกรณ์กีฬา รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1. รับทุนการศึกษา 3,000 บาท พร้อมโล่ เหรียญรางวัล เกียรติบัตร และอุปกรณ์ รองชนะเลิศอันดับ 2. รับทุนรางวัล 2,000 บาท พร้อมโล่ เหรียญรางวัล เกียรติบัตร และอุปกรณ์ และรองชนะเลิศอันดับ 3. รับทุนการศึกษา 1,000 บาท พร้อมโล่ เหรียญรางวัล เกียรติบัตร และอุปกรณ์กีฬา และเตรียมตัวเข้าสู่รอบสอง "รอบคับเลือกระดับภูมิภาค” ต่อไป

คัดเลือกสื่อปลอดภัยสร้างสรรค์จังหวัดอุดรธานี

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอุดรธานีจัดประกวดสื่อปลอดภัยสร้างสรรค์ เพื่อเป็นสื่อต้นแบบ สนับสนุนส่งเสริมสร้างความตระหนักให้กับผู้ประกอบการด้านการผลิตสื่อสร้าง สรรค์ผลงานที่ดี เป็นเครือข่ายเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ภายใต้แนวคิด ขจัดสื่อร้าย ขยายสื่อดี เพิ่มพื้นที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์

วันนี้ (12 ก.ค. 56) ที่ห้องประชุมสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอุดรธานี นายพัฒนเดช ยศกรกุล ประชาสัมพันธ์จังหวัดอุดรธานีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกสื่อ ปลอดภัยและสร้างสรรค์ จังหวัดอุดรธานี ประจำปี 2556 เพื่อคัดเลือกสื่อที่มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเป็นสื่อที่มีการเผยแพร่เพื่อประโยชน์ต่อผู้บริโภค ทุกระดับ เพื่อทำการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นที่ประจักษ์ ภายใต้แนวคิด ขจัดสื่อร้าย ขยายสื่อดี เพิ่มพื้นที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยมี คณะกรรมการอาทิ นายวชิระ ธาราชีพ รองประธานสภา ,นางสุมาลี พิ่งฉันพลี ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกาประถมศึกษาอุดรธานี ,นายศักดา จำปาหอม ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 20 และนางสาวปรัชญานันท์ เวียงนนท์ ผู้แทนนายกสมาคมสื่อวิทยุท้องถิ่นอุดรธานี และ นางสมพร นิลัมภีร์ ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม รวมพิจารณาคัดเลือก

สำหรับผลงานที่จัดส่งเข้าร่วมคัดเลือกมี 6 ผลงาน 3 ประเภทสื่อ คือ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ และสื่อโทรทัศน์ ผลการคัดเลือกปรากฏว่า สื่อโทรทัศน์รางวัลที่ 1 ออนซอนอุดร โดยนายกฤษฎา อึ้งมณีประเสริฐ ผู้ผลิตสื่อทั่วไปอำเภอเมือง รางวัลที่ 2 ต้นแบบ 36 แผนที่ชีวิตของพ่อแรงบันดาลใจสู่ความสำเร็จ โดยนางลักษิกา บุญโนนเต้ ครูโรงเรียนบ้านหนองโอนหนองฮาง ตำบลเชียงพิณ อำเภอเมืองอุดรธานี และรางวัลที่ 3 ประเภทสื่อสิ่งพิมพ์ ”หวานแหวว”โดยนางคำปุ่น ทิพย์โชติ โรงเรียนทุ่งฝนวิทยาคาร อำเภอทุ่งฝน




ทีมข่าว ส.ปชส.อด. ศรีภูมิ ทองใหญ่ ณ อยุธยา ข่าว/ภาพ

สวนสัตว์อุบลราชธานี เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้

วันที่ 12 กรกฎาคม 2556 การเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ทางสวนสัตว์ได้เชิญดารานักแสดงยอดนิยมอย่าง "วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์” และ "ขวัญ อุษามณี ไวทยานนท์” มาร่วมโชว์ตัวและทำหน้าที่จำหน่ายบัตรให้กับแขกวีไอพีของงานด้วย โดยบัตรเข้าชมสวนสัตว์อุบลราชธานี ใบแรก ถูกจำหน่ายให้กับ นายสุทธินันท์ บุญมี รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการหลังจากที่ให้บริการเข้าชมฟรีมานาน ประมาณครึ่งปี เป็นการปรับสภาพของความคุ้นเคยของสัตว์ในระยะเริ่มก่อตั้งกับพื้นที่แวดล้อม ใหม่ไปในตัวด้วย

สวนสัตว์อุบลราชธานี หรือ อุทยานสัตว์ป่าอุบลราชธานี ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนดงฟ้าห่วน ต.ขามใหญ่ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ห่างจากตัวศาลากลางจังหวัดใหม่ไม่ถึง 2 กิโลเมตร มีพื้นที่ 1,217 ไร่ ดำเนินการโดยองค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

สำหรับส่วนที่เปิดให้บริการแล้ว แบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่ โซนสัตว์แอฟริกา เช่น นกกระจอกเทศ ยีราฟ ไนอาล่า วอเตอร์บัค ม้าลายเบอร์เชล// โซนอาณาจักรสัตว์นักล่า มี สิงโตขาว เสือโคร่งขาว สิงโต เสื้อโคร่งไซบีเรีย เสือโคร่งอินโดจีน // โซนสัตว์กีบต่างประเทศ มี กวางซิก้า บาราซิงแบลคบัค// โซนสัตว์กีบไทย มี กวางป่า เนื้อทราย เก้ง ละมั่งพันธุ์พม่า เป็นต้น และล่าสุดที่นำเข้ามาคือ จิงโจ้เผือก จากออสเตรเลีย เป็นจิงโจ้อีกชนิดหนึ่ง ที่มีขนสีขาว เป็นลักษณะพิเศษของยีนส์เด่นที่ปรากฎออกมา ที่แตกต่างจากจิงโจ้พันธุ์ทั่วไป ซึ่งในอนาคต สวนสัตว์แห่งนี้จะทยอยนำสัตว์ชนิดต่างๆ เข้ามาเรื่อยๆ เช่นเดียวกับสวนสัตว์อื่นๆขององค์การสวนสัตว์อีกหลายแห่งทั่วประเทศ


สำหรับผู้ที่สนใจ ในช่วงวันนี้ ถึงสิ้นเดือนกันยายน ทางสวนสัตว์อุบลราชธานี มีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับการซื้อบัตรเข้าชม คือ ซื้อบัตรผู้ใหญ่ 1 ใบ แถมบัตรเด็ก 1 ใบ โดยบัตรผู้ใหญ่ใบละ 40 บาท และบัตรเด็กใบละ 20 บาท ในขณะที่หากเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ บัตรผู้ใหญ่ใบละ 70 บาท บัตรเด็กใบละ 50 บาท

ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดประชุมนักจัดรายการวิทยุ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อสร้างเครือข่ายการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้การคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน สู่ประชาชนได้มากขึ้น

วันที่ 12 กรกฎาคม 2556 นายอดุลย์ ค้ำชู ผู้บริหารส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นประธานเปิดการประชุมธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดประชุมนักจัดรายการวิทยุ จังหวัดอุบลราชธานี การจัดประชุมดังกล่าว โดยมีนักจัดรายการวิทยุ ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ร่วมประชุม เพื่อสร้างเครือข่ายด้านการประชาสัมพันธ์ ถึงบทบาทหน้าที่และแผนยุทธศาสตร์สำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะด้านการคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ซึ่งมีแนวคิดที่จะให้บริโภคมีความเข้มแข็ง รู้สิทธิและหน้าที่ของตน ไม่ถูกเอาเปรียบจากผู้ให้บริการทางการเงินซึ่งมีอำนาจต่อรองหือมีข้อมูลที่ มากกว่า เนื่องจากผลิตภัณฑ์ทางการเงินในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้น ประกอบกับประชาชนมีความคาดหวังต่อ ธนาคารแห่งประเทศไทย ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคมากขึ้นด้วย ดังนั้นบทบาทของการดูแล จึงเน้นเชิงรุกมากขึ้น โดยมุ่งป้องกันปัญหาที่ต้นเหตุ คือ การมุ่งเน้นด้านการให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน เพื่อลดการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ คือ ร้องเรียนเรื่องต่าง ๆ ที่นับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการทำงาจะมีความยุ่งยากมากเพราะต้องประสานกับหลายฝ่าย


ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงจัดตั้งศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน หรือ ศคง. ขึ้น เมื่อต้นปี 2555 เพื่อให้การทำงานในด้านการคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินเป็นระบบ มีความต่อเนื่อง สอดประสานกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ สามาราตอบสนองความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการให้ ธปท. เป็นที่พึ่งของประชาชนในเรื่องดังกล่าวซึ่ง ศคง. เป็นเสมือน One-stop service โดยสามารถติดต่อผ่านทางโทรศัพท์สายด่วนหมายเลข 1213

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี จัดประชุมผู้รับอนุญาต ที่มีหน้าที่ปฎิบัติราชการร้านยาจังหวัดอุบลราชธานี ประจำปีงบประมาณ 2556

วันที่ 12 กรกฎาคม 2556 ที่โรงแรมสุนีย์แรนด์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์สุวิทย์ โรจน์ศักดิ์โสธร รองนายแพทย์สาธารณสุขังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานเปิดงาน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี จัดประชุมผู้รับอนุญาต ที่มีหน้าที่ปฎิบัติราชการร้านยาจังหวัดอุบลราชธานี ประจำปีงบประมาณ 2556 การจัดประชุมในครั้งนี้ เนื่องจาก ร้านยาเป็นหน่วยงานของระบบบริการสุขภาพที่มีความใกล้ชิดประชาชน เป็นสถานที่ประชาชนไปรับใช้บริการก่อนลำดับแรก ทั้งนี้ร้านยาไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ในการกระจายยาเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสให้บริการด้านสุขภาพ เป็นทางเลือกหนึ่งของประชาชนในการใช้บริการเมื่อมีอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น การให้คำแนะนำในกาบริการสุขภาพตนเองตลอดจนการส่งต่อไปยังแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ตามความเหมาะสม เพื่อให้ประชาชนได้รับการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อการบริโภคที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ และเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพในการรักษาตนเองเบื้องต้นได้

การประชุมผู้รับอนุญาต ที่มีหน้าที่ปฎิบัติราชการร้านยาจังหวัดอุบลราชธานี ในวันนี้ ประกอบด้วยเภสัชกรในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ ที่รับผิดชอบงานคุ้มครองผู้บริโภค ผู้รับอนุญาต และผู้ปฎิบัติการร้านยาในจังหวีดอุบลราชธานี เภสัชกรกลุ่มคุ้มครองผู้บริโภคและสาธารณสุข จำนวน 200 คน




จักรกฤษณ์ มาลาสาย/ข่าว

ทองปัก ทวีสุข /ภาพ

ขอเชิญร่วมงานไปช้อป ไปแบงค์กรุงไทย ที่ธนาคารกรุงไทย สาขากาฬสินธุ์ วันที่ 15-16 กรกฎาคมนี้

สำนักงานประชาสัมพันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้รับแจ้งมาว่า บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขากาฬสินธุ์ ได้ร่วมกับบริษัท เคทีบี ลีสซิ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บมจ.ธนาคารกรุงไทย ได้จัดกิจกรรมพิเศษไปช้อป ไปแบงก์กรุงไทย สำหรับข้าราชการ, พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือประชาชนทั่วไปที่มีบัญชีเงินฝากกับธนาคารกรุงไทย บริเวณอาคารธนาคารกรุงไทย สาขากาฬสินธุ์ ระหว่างวันที่ 15-16 กรกฎาคม 2556 เวลา 08.30-17.00 น. ซึ่งภายในงานจะมีการแสดงสินค้า อาทิ เช่น รถจักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค เครื่องประดับเพชรยูบิลลี่ และอื่น ๆ อีกมากมาย ฯลฯ พบสินค้าและอัตราดอกเบี้ยพิเศษสุด เช่น รถจักรยายนต์ดอกเบี้ยพิเศษ 0.85% ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน ไม่ต้องมีเงินดาวน์และฟรีค่าจดทะเบียน ฟรี พ.ร.บ.และฟรีภาษีประจำปีนานสูงสุด 4 ปี หรือ ดอกเบี้ย 0% สำหรับสินค้าอุปโภค บริโภคอื่น ๆ จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ ลูกค้าธนาคารกรุงไทย ไปร่วมงานดังกล่าวได้ในวันที่ 15-16 กรกฎาคม 2556 ณ บริเวณด้านข้างอาคารธนาคารกรุงไทย สาขากาฬสินธุ์



ดวงใจ หงษ์จันทร์ / ข่าว

อบจ.กาฬสินธุ์ สนับสนุนงบประมาณป้องกันควบคุมไข้เลือดออกแก่ สสจ.กาฬสินธุ์

องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ มอบวัสดุ/อุปกรณ์ การป้องกัน ควบคุมโรคไข้เลือดออกให้กับสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นจำนวนเงิน 5,856,300.-บาท เพื่อนำไปป้องกันการแพร่ระบาดโรคไข้เลือดออกในทุกชุมชน หมู่บ้านทั้ง 18 อำเภอของจังหวัดกาฬสินธุ์

เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (11 กรกฎาคม 2556) ที่สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ นายประยงค์ โมคภา รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นประธานมอบวัสดุ/อุปกรณ์ สนับสนุนในการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก มูลค่า 5,856,300.-บาท ตามโครงการรวมพลังป้องกันภัยไข้เลือดออกให้กับนายแพทย์พิสิทธิ์ เอื้อวงศ์กูล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อนำไปดำเนินการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออก ลดความชุกชุมของลูกน้ำยุงลาย ลดอัตราผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกในทุกชุมชน หมู่บ้าน ทุกชุมชน ทั้ง 18 อำเภอของจังหวัดกาฬสินธุ์

นายประยงค์ โมคภา รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของจังหวัดกาฬสินธุ์ในปี 2556 ช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 19 มิถุนายน 2556 มีผู้ป่วย 286 ราย คิดเป็นร้อยละ 28.23 ต่อประชากรแสนคน ในการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก สาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ได้ทำการรณรงค์กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายและป้องกันยุงกัด คว่ำภาชนะมีน้ำขัง การหยอดทรายอะเบท พ่นควันกำจัดยุงลายในทุกหมู่บ้าน ชุมชนของจังหวัดกาฬสินธุ์ และปัจจุบันได้เข้าสู่ฤดูฝนการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกก็เพิ่มมากขึ้น ทำให้งบประมาณที่ อบจ.กาฬสินธุ์ อุดหนุน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ ในการป้องกันแก้ไขปัญหาไข้เลือดออกช่วงเดือน พฤษภาคม 2556 จำนวน 2,000,000.-บาท ไม่เพียงพอต่อการดำเนินงาน ดังนั้น อบจ.กาฬสินธุ์ จึงได้สนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว โดยมอบทรายกำจัดลูกน้ำยุงลาย จำนวน 375,000 ซอง เป็นเงิน 2,812,500.-บาท และน้ำยาเคมีพ่นกำจัดยุง จำนวน 1,602 ลิตร เป็นเงิน 3,043,800.-บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,856,300.-บาท ให้กับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อไปดำเนินการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์




ดวงใจ หงษ์จันทร์ / ข่าว

การค้าภายในชัยภูมิลุยตรวจการจำหน่ายเครื่องสังฆทาน

การค้าภายในจังหวัดชัยภูมิ ลุยตรวจร้านค้าจำหน่ายเครื่องสังฆทาน ให้มีการติดป้ายแสดงราคา ห้ามนำเครื่องสังฆทานเก่ามาจำหน่ายโดยเด็ดขาด หากเป็นเครื่องอุปโภคบริโภคที่หมดอายุแล้ว อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายของพระภิกษุสงฆ์ได้

นางสาวปณิดา ผดุงพงษ์ การค้าภายในจังหวัดชัยภูมิ นำเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบร้านค้าจำหน่ายเครื่องสังฆทาน ในเมืองชัยภูมิ คุมเข้มไม่ให้มีการนำเครื่องสังฆทานเก่ามาจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นผ้าอาบน้ำฝน สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก หากเสื่อมสภาพคุณภาพใช้ประโยชน์ได้น้อยลง แต่หากเป็นเครื่องอุปโภค บริโภค อาจะเน่าเสียเป็นอันตรายต่อสุขภาพของพระภิกษุสงฆ์ สามเณรที่รับประทานเข้าไป ซึ่งจะทำให้ผู้นำเครื่องสังฆทานไปถวายเป็นบาป และคุมเข้มให้มีการติดป้ายแสดงราคาสิ่งของที่บรรจุอยู่ในถังสังฆทานทุกถัง และแสดงวันหมดอายุ จาการออกตรวจ ตามร้านจำหน่ายเครื่องสังฆทาน เทียนพรรษา ผ้าไตรจีวร และอื่น

ในช่วงนี้บรรดาเจ้าของร้านต่างบอกว่าในปีนี้เศรษฐกิจยังคกตกต่ำ สิ่งของที่นำมาจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นเทียนพรรษา เครื่องสังฆทาน และอื่น ๆ ยังคงขายในราคาเท่าเดิม โดยราคาจำหน่ายเทียนพรรษาในปีนี้เบอร์ 3 คู่ละ 350 บาท ส่วนเบอร์เพิ่มอื่น ๆ จะเพิ่มขึ้นเบอร์ละ 100 บาท เครื่องสังฆทาน ถังละ 90 บาท ถึง 300 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดสิ่งของ จะขึ้นราคาเพียงเล็กน้อยประมาณ 5 % ของราคาเดิม ตามร้านต่าง ๆ มีการติดป้ายแสดงราคาสิ่งของที่บรรจุอยู่ในถังสังฆทานทุกถัง และแสดงวันหมดอายุด้วย





สุระพงค์ สวัสดิ์ผล /ข่าว

จ.ชัยภูมิจัดพิธีวางพวงมาลา เนื่องในวันสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ที่บริเวณศาลาประชาคมจังหวัดชัยภูมิ วานนี้ ( 11 ก.ค. 56 ) ชาวชัยภูมิทุกหมู่เหล่า ต่างนำพวงมาลา มาถวายราชสักการะ เบื้องหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เนื่องในวันสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยมีนายบรรยงค์ วงศ์กนิษฐ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ เป็นประธานในพิธี กล่าวถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติ ตั้งสัตยาธิษฐาน น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ของพระองค์ท่าน ที่ทรงมีต่อแผ่นดินสยาม นับตั้งแต่มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ขึ้นเสวยราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 27 แห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงมีแนวพระราชดำริให้สถาปนาเมืองเก่า คือเมืองละโว้ธานี หรือ ลพบุรีในปัจจุบัน เป็นราชธานีแห่งที่ 2 และเสด็จแปรพระราชฐาน ประทับที่ลพบุรีเป็นประจำทุกปีๆละประมาณ 8 เดือน
 
พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นักรบผู้กล้าหาญ ปกครองอาณาประชาราษฎร์ ด้วยทศพิธราชธรรม ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์เดียวในบูรพาปะเทศ ที่เจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรป เลือกเจริญสัมพันธไมตรีอย่างเหนียวแน่นกับประเทศฝรั่งเศส เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับประเทศฮอลันดา ทำให้เกิดผลดีในด้านการถ่ายเทอารยธรรม เกิดการพัฒนา ความเจริญด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ การค้า และสถาปัตยกรรม แก่ประเทศสยาม
 
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีพระปรีชา ด้านศิลปะวรรณคดี ทรงพระราชนิพนธ์วรรณคดีไทยไว้หลายเรื่อง ได้แก่ พระโคลงเรื่องทศรถสอนพระราม พาลีสอนน้อง ราชสวัสดิ์ และสมุทรโฆษคำฉันท์ เป็นต้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสด็จสวรรณคต เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2231 เสด็จดำรงราชสมบัตินานถึง 32 ปี สิริพระชนมายุ ได้ 56 พรรษา




สุระพงค์ สวัสดิ์ผล / ข่าว

จังหวัดนครราชสีมา ขอเชิญร่วมงาน “วันนัดพบแรงงานย่อย ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖” 25 กรกฎาคม นี้



สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครราชสีมา ได้กำหนดจัดงานวันนัดพบแรงงาน เพื่อส่งเสริมให้คนหางานได้มีงานทำ และให้นายจ้าง/สถานประกอบการได้มีโอกาสคัดเลือกคนหางานตามตำแหน่งงานที่ต้อง การ

สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครราชสีมา ร่วมกับ บริษัท บุญไทยแมชชีนเนอรี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด กำหนดจัดงานวันนัดพบแรงงานย่อย ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ ในวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เวลา ๐๙.๐๐ –๑๖.๓๐ น. ณ บริษัท บุญไทยแมชชีนเนอรี่คอมเพล็กซ์ จำกัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นายจ้าง/สถานประกอบการ และผู้ต้องการหางานทำ ผู้ต้องการเปลี่ยนงาน ได้พบกันและพิจารณาคัดเลือกกันโดยตรง ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายให้กับทั้งสองฝ่าย และยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ประสงค์จะหางานทำได้เลือกตำแหน่งงานที่ตรงกับ ความรู้ ความสามารถ ความถนัดได้อย่างหลากหลาย ได้สมัครงานกับนายจ้าง/สถานประกอบการจำนวนมากในคราวเดียวกัน ขณะเดียวกันนายจ้าง/สถานประกอบการก็สามารถพิจารณาคัดเลือกผู้สมัครงานได้ เป็นจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งภายในงานมีการรับสมัครงาน จากสถานประกอบการทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัด กว่า ๕๐ แห่ง มีตำแหน่งงานว่างกว่า ๕,๐๐๐ อัตรา การรับสมัครงานสำหรับนักเรียน/นักศึกษา และงานสำหรับคนพิการ การแสดงนิทรรศการความรู้เกี่ยวกับการหางาน และการแจกเอกสารคำแนะนำการหางาน ฟรี!
 

สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครราชสีมา จึงขอเชิญนายจ้าง/สถานประกอบการที่มีความต้องการแรงงาน สามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมงานมาได้ที่ฝ่ายส่งเสริมการมีงานทำ โทร. ๐-๔๔๓๕-๕๒๖๖ – ๗ ต่อ ๑๐๔ และขอเชิญชวนผู้ตกงาน/ว่างงาน และประชาชนทั่วไปร่วมกิจกรรมในวัน/เวลาและสถานที่ดังกล่าว โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ...งานนี้ไม่ควรพลาด...โอกาสมีงานทำกำลังรอคุณอยู่

สสว. เชิญชวน SMEs นครราชสีมา ร่วมโครงการช่วยสนับสนุนดอกเบี้ยเงินกู้ แบ่งเบาภาระค่าจ้างแรงงาน

ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครราชสีมา รายงานว่า สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมกับ สถาบันการเงินของรัฐและเอกชน เชิญชวน SMEs นครราชสีมา ร่วมโครงการช่วยสนับสนุนดอกเบี้ยเงินกู้ แบ่งเบาภาระค่าจ้างแรงงาน

สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาด ย่อม (สสว.) ร่วมกับ สถาบันการเงินของรัฐและเอกชน จัดโครงการช่วยสนับสนุนดอกเบี้ยแก่ SMEs เพื่อช่วยลดผลกระทบแก่เจ้าของธุรกิจ SMEs จากการปรับค่าจ้างแรงงาน ในอัตรา 300 บาทต่อวัน โดยจะสนับสนุนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี วงเงินสินเชื่อสูงสุด 1 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 1 ปี นับจากวันที่ลงนามในสัญญาเงินกู้ เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาให้กับผู้ประกอบการ SMEs 12 กลุ่มธุรกิจหลักที่ได้รับผลกระทบ คาดว่าภายใน 1 ปีนี้ผู้ประกอบการจะสามารถลดต้นทุนและดำเนินกิจการได้อย่างมั่นคงต่อเนื่อง
 
ทั้งนี้ โครงการมีวัตถุประสงค์ลดปัญหาระยะสั้นให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ด้านการลดภาระต้นทุนการผลิตเพื่อให้ SMEs สามารถปรับตัวได้ดีขึ้นในระยะสั้น โดยคณะทำงานจะลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์โครงการฯ ใน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดสุราษฎร์ธานี เชิญตัวแทนจากอุตสาหกรรมจังหวัด หอการค้าจังหวัด และสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ในเขตพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ (รวม 51 จังหวัด) รวมถึงตัวแทนจากผู้ประกอบการ SMEs ร่วมฟังคำชี้แจงโครงการฯ
 
โดยครั้งแรก กำหนดจัดขึ้นที่จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2556 ณ ห้องสุรนารี บอลล์รูม เอ โรงแรมดุสิต ปริ๊นเซส จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างเวลา 13.00 น. ถึง 15.30 น.
 
ผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ทุกสาขาของ สถาบันการเงิน ที่เข้าร่วมโครงการฯ หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.sme.go.th 

จังหวัดนครราชสีมา จัดแถลงข่าวการจัดการแข่งขันมวยโลก "ศึกเมืองย่า สู่บัลลังก์โลก ปะทะ มวยไทยโลกนัมเบอร์วัน " เพื่อหารายได้จัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์มอบให้โรงพยาบาลมหาราชและโรงพยาบาลสีคิ้ว จ.นครราชสีมา

ที่ภัตตาคารเทียนเทียน อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระคมนาคม นายพงษ์พิช รุ่งเป้า อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดร.วินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายแพทย์ วิชัย ขัตติยวิทยากุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ได้ร่วมกันแถลงข่าวเตรียมจัดการแข่งขันมวยโลก "ศึกเมืองย่า สู่บัลลังก์โลก ปะทะ มวยไทยโลก นัมเบอร์วัน " เพื่อหารายได้จัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์มอบให้โรงพยาบาลมหาราชและโรง พยาบาลสีคิ้ว จ.นครราชสีมา โดยมีสื่อมวลชนทุกแขนงเข้าร่วมรับฟังกันเป็นจำนวนมาก ดร.วินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า การจัดการแข่งขันมวยโลกรายการ "ศึกเมืองย่า สู่บัลลังก์โลก ปะทะ มวยไทยโลกนัมเบอร์วัน " จะมีการแข่งขันในวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 นี้ ที่โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ทางคณะกรรมการทุกคน ต่างได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ และประโยชน์สูงสุด ในการเป็นส่วนหนึ่งที่ได้มีส่วนช่วยเหลือสังคม และเพื่อตั้งกองทุนไว้ช่วยเหลือบุคคล องค์กร ที่มีจิตอาสา ให้มีขวัญกำลังใจ อาทิ กลุ่ม อสม. อกม.กลุ่มแม่บ้าน ตำรวจบ้าน อปพร. อส. และผู้พิการ พร้อมมีทุนการศึกษาให้บุตร และนอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมกีฬาแม่ไม้มวยไทย ต้านยาเสพติด และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว พร้อมทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์จังหวัดนครราชสีมา 

จังหวัดนครราชสีมาประกอบพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะวันสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประจำปี 2556 เพื่อแสดงความจงรักภักดีและ น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย

วันนี้ ( 11 ก.ค. 56 ) เวลา 09.30 น. ที่หอประชุมเปรม ติณสูลานนท์ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ดร.วินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นำหัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ร่วมประกอบพิธีวางพวงมาลาถวายเครื่องราชสักการะเนื่องในวันสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าประสาททอง พระมหากษัตริย์ผู้ครองกรุงศรีอยุธยา กับพระมารดา ผู้ทรงเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ เดือนยี่ ปีวอก พุทธศักราช 2175 เมื่อทรงพระเยาว์ได้ทรงศึกษาวิชาการจนแตกฉาน มีความเชี่ยวชาญในทุกด้าน ทั้งศิลปะวิชาไตรเภท ยุทธศาสตร์ และการปกครอง ครั้นเมื่อพระชนมายุได้ 25 พรรษา ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเสวยราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์ องค์ที่ 27 แห่งกรุงศรีอยุธยา

พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประวัติศาสตร์ของชาติได้จารึกพระราชกรณียกิจของพระองค์ในด้านต่างๆ ไว้นานัปการ ทั้งในด้านการที่ทรงเป็นกษัตริย์นักรบผู้กล้าหาญ ทรงปกครองอาณาประชาราษฎร์ด้วยทศพิธราชธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระราชกรณียกิจที่เกี่ยวกับการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียวในบูรพาที่เป็นมิตร และสนิทสนมกับชาวยุโรป ด้วยพระปรีชาญาณ ได้ทรงตัดสินพระทัยเลือกเจริญสัมพันธไมตรีอย่างแน่นแฟ้นกับประเทศฝรั่งเศส เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับประเทศฮอลันดาได้ดำเนินการทางการทูตด้วยความละเอียด สุขุม รอบคอบ ทรงจัดให้มีการแลกเปลี่ยนทูต ยังปกครองอาณาประชาราษฎร์ด้วยทรงขอเวลาศึกษาไตร่ตรองหลักคำสอนของคริสต์ ศาสนา ผลแห่งการกระชับสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ ในยุโรป เป็นผลให้เกิดการถ่ายเทอารยธรรม ยังความเจริญในด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ การค้า และสถาปัตยกรรมแก่สยามประเทศ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีพระปรีชาในด้านศิลปะวรรณคดีเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงพระราชนิพนธ์วรรณคดีไทยไว้หลายเรื่อง เช่น พระราชนิพนธ์โคลงเรื่องทศรถสอนพระราม พาลีสอนน้อง ราชสวัสดิ์ และสมุทรโฆษคำฉันท์ เป็นต้น

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสด็จดำรงราชสมบัตินานถึง 32 ปี จึงทรงพระประชวร และเสด็จสวรรคตเมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พุทธศักราช 2231 สิริรวมพระชนมายุได้ 56 พรรษา

จังหวัดนครราชสีมาจัดหน่วยบริการเคลื่อนที่ ตามโครงการเสริมสร้างความจงรักภักดีต่อสถาบัน บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน

ที่วัดพิกุลทอง ต.บ้านเดื่อ อ.ชุมพวง จ.นครราชสีมา ดร.วินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานในพิธีเปิดหน่วยบริการจังหวัดเคลื่อนที่ ตามโครงการเสริมสร้างความจงรักภักดีต่อสถาบัน บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน ทั้งนี้การจัดโครงการดังกล่าวเพื่อให้ประชาชน ทั้ง 32 อำเภอ ของจังหวัดนครราชสีมา ได้รับบริการในด้านต่างๆที่เป็นประโยชน์จากหน่วยงานราชการ และเป็นการเพิ่มองค์ความรู้ให้กับประชาชนในพื้นที่นำไปใช้ในการดำรงชีวิต เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายและลดค่าครองชีพของประชาชน โดยภายในงานได้มีหน่วยงานราชการ มาตั้งบูทให้คำปรึกษาในด้านการเกษตร การบริการทำหมันให้กับสุนัข การตรวจวัดสายตา และการสอนอาชีพให้กับประชาชนที่มาร่วมงาน อาทิ การเพาะเห็ด การเลี้ยงปลาดุกในบ่อพลาสติกและการสานเครื่องหวาย เป็นต้น ซึ่งมี ประชาชนในพื้นที่อำเภอชุมพวง เข้ามารับบริการกว่า 1,000 คน ในโอกาสเดียวกันนี้ ดร.วินัยบัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้รับฟังปัญหาของประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งมอบนโยบายของจังหวัดนครราชสีมา ได้แก่ การแก้ปัญหายาเสพติดของจังหวัด การแก้ปัญหาความยาจน การรักษาศิลปวัฒนธรรม ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ และการรักษาความสงบในพื้นที่ชุมชนให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ดูแลความสงบเรียบร้อย พร้อมกันนี้เหล่ากาชาดจังหวัดนครราชสีมา ยังได้นำถุงยังชีพ จำนวน 100 ชุด มามอบให้กับผู้สูงอายุและผู้ยากไร้ อีกทั้งยังได้มีการมอบจักรยานให้กับนักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน และการมอบพันธุ์ปลา กล้าไม้ ให้กับผู้นำชุมชนในพื้นที่อำเภอชุมพวงอีกด้วย

รมว.สธ. ติดตามการดำเนินงานพัฒนาเครือข่ายโรคหลอดเลือดสมองจังหวัดบุรีรัมย์

นายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางมาตรวจติดตามการดำเนินงานพัฒนาเครือข่ายการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือด สมองแบบครบวงจรไร้รอยต่อของจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ ลดการสูญเสียชีวิตและลดภาวะความพิการ

(๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เวลา ๑๐.๓๐ น. ที่ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลบุรีรัมย์ นายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางมาตรวจติดตามการดำเนินงานพัฒนาเครือข่ายการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือด สมองแบบครบวงจรไร้รอยต่อของจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งจังหวัดบุรีรัมย์เป็นพื้นที่หนึ่งที่ประสบปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือที่เรียกว่าโรควิถีชีวิต ๕ โรค ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็ง

สำหรับโรคหลอดเลือดสมอง จากสถิติโรงพยาบาลบุรีรัมย์ ในปี ๒๕๕๓ – ๒๕๕๕ พบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ประมาณ ๑,๐๐๐ กว่าราย และเพิ่มมากขึ้นทุกปี ซึ่งที่ผ่านมาต้องส่งผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์จึงได้มีการพัฒนาเครือข่ายการดูแลผู้ป่วยโรคปลอดเลือดสมอง แบบครบวงจรไร้รอยต่อที่มีรูปแบบชัดเจน ถือเป็นการให้บริการรูปแบบ Buriram Stroke Model ที่สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายดูแลผู้ป่วยตั้งแต่ระดับตติยภูมิ ทุติยภูมิ และปฐมภูมิ โดยเริ่มตั้งแต่การดูแลรักษา และการพัฒนาระบบการส่งต่อระหว่างโรงพยาบาลบุรีรัมย์กับโรงพยาบาลชุมชนลูก ข่าย ทั้ง ๒๑ แห่ง รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง
รัฐมนตีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การพัฒนาเครือข่ายการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแบบครบวงจรไร้รอยต่อของ จังหวัดบุรีรัมย์ สามารถที่จะดูแลผู้ป่วย ให้เข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ ลดการสูญเสียชีวิต และลดภาวะความพิการได้อย่างชัดเจน






สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดบุรีรัมย์

บึงกาฬจัดแข่งขันจักรยานเมาเท่นไบค์ ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัด
บึงกาฬ นายพงศธร สัจชลพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ เป็นประธานการประชุมเพื่อเตรียมจัดการแข่งขัน "บึงกาฬ เมาเท่นไบค์ ชาเลนจ์ ๒๐๑๓” ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ ซึ่งเป็นการจัดร่วมกันระหว่างองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ และ จังหวัดบึงกาฬ ร่วมกับนายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและนายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย – จีน ระหว่างวันที่ ๒๖ – ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่อำเภอเมืองบึงกาฬ และ อำเภอบุ่งคล้า จังหวัดบึงกาฬ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นตัวอย่างในการประหยัดพลังงานและส่งเสริมให้ ประชาชนสนใจการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยการใช้จักรยานมากขึ้น อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดบึงกาฬให้เป็นที่แพร่หลายอีก ด้วย

ในส่วนของประเภทและรุ่นแข่งขันจะประกอบด้วย ประเภทแข่งขัน A ระยะทางแข่งขันรวม ๓๐ กิโลเมตร แบ่งออกเป็นประเภทชาย อายุไม่เกิน ๑๘ ปี จนถึง ๖๐ ปีขึ้นไป และประเภทหญิง อายุไม่เกิน ๑๘ ปี กับหญิงทั่วไป ประเภทท่องเที่ยว B ระยะทางรวม ๒๐ กิโลเมตร ประเภทชาย อายุไม่เกิน ๑๕ ปีจนถึง ๖๐ ปีขึ้นไป กับ ชายน้ำหนัก ๘๕ กิโลกรัม ขึ้นไป และประเภทหญิงอายุไม่เกิน ๑๖ ปี จนถึงอายุ ๓๐ ปีขึ้นไป และ ประเภท C ระยะทางแข่งขันรวม ๘ กิโลเมตร ประเภทชายอายุไม่เกิน ๑๐ ปี จนถึงอายุไม่เกิน ๑๒ ปี กับประเภทหญิงอายุไม่เกิน ๑๒ ปี และอายุไม่เกิน ๑๔ ปี ผู้ชนะเลิศลำดับที่ ๑ – ๕ ของทุกประเภทการแข่งขันจะได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศจากนายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและนายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย – จีน เช่น ชายอายุไม่เกิน ๑๘ ปี ชนะเลิศได้เงินสด ๕๐,๐๐๐ บาท ชายทั่วไป (โอเพ่น) ชนะเลิศเงินสด ๑๐๐,๐๐๐ บาท หญิงทั่วไป (โอเพ่น) ชนะเลิศเงินสด ๕๐,๐๐๐ บาท และ หญิงอายุไม่เกิน ๑๘ ปี ชนะเลิศเงินสด ๕๐,๐๐๐ บาท เป็นต้น นอกจากนี้คณะกรรมการยังมีการสนับสนุนชมรมที่ส่งสมาชิกเข้าร่วมแข่งขันมากที่ สุด ให้ได้รับเงินรางวัล เช่น อันดับที่ ๑ ได้เงินสด ๑๐,๐๐๐ บาท อันดับที่ ๒ ได้รับเงินสด ๘,๐๐๐ บาท เป็นต้น


ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬได้เปิดเผยในตอนท้ายอีกว่า นอกจากจะจัดการแข่งขันจักรยานเมาเท่นไบค์แล้ว จังหวัดยังได้จัดให้มีการจำหน่ายสินค้าโอทอป สุดยอดของดีจากทั้ง ๘ อำเภอของจังหวัดบึงกาฬ และการแสดงคอนเสิร์ตจากดารานักแสดงของช่อง ๓ และศิลปินจากค่ายแกรมมี่บริเวณโรงเรียนบึงกาฬ อำเภอเมืองบึงกาฬ ในค่ำคืนวันศุกร์ที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ และเชิญชวนประชาชนชาวบึงกาฬ และผู้ร่วมการแข่งขัน ทุกคน ปลูกป่าจำนวน ๕,๐๐๐ ต้น บริเวณ วัดป่าชัยพร ตำบลชัยพร อำเภอเมืองบึงกาฬ ในเช้าวันเสาร์ที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ก่อนที่จะเริ่มการแข่งขันบริเวณ โรงเรียน ประสานมิตรวิทยา ตำบลชัยพร อำเภอเมืองบึงกาฬ อีกด้วย สำหรับรายละเอียดผู้สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ บริษัท ยูทู เน็ตเวิร์ด (ประเทศไทย) จำกัด ๔๒/๒ ถนนเทศบาลนิมิตใต้ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐ โทรศัพท์ ๐๒ – ๙๕๔๔๔๔๔ โทรสาร ๐๒ – ๕๘๙๕๕๖๘ หรือที่เว็บไซด์ www.thaimtb.com

ป.ป.ช.ประจำจังหวัดบึงกาฬ ประชุมคณะทำงานด้านการเผยแพร่ข่าวสาร และการประชาสัมพันธ์การสรรหากรรมการ ป.ป.จ.

วันนี้ (๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องประชุม สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัด บึงกาฬ ได้มีการประชุมคณะทำงานด้านการเผยแพร่ข่าวสาร และการประชาสัมพันธ์การสรรหากรรมการ ป.ป.จ. โดยมีนายมงคล มณีกิจ รักษาการผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดบึงกาฬ เป็นประธานการประชุม

นายมงคล มณีกิจ กล่าวว่า การประชุมคณะทำงานด้านการเผยแพร่ข่าวสาร และการประชาสัมพันธ์การสรรหากรรมการ ป.ป.จ. ในครั้งนี้เป็นการประชุมเพื่อหาแนวทางในการประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มองค์กร
ต่างๆ จำนวน ๙ กลุ่มองค์กร ได้ส่งตัวแทนเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการสรรหา กรรมการ ป.ป.จ. โดยสรุปแนวทางที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์ ๗ ช่องทางด้วยกัน คือ การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสปอตวิทยุ ,สปอตโทรทัศน์ ประชาสัมพันธ์ผ่านอักษรวิ่งบนเคเบิ้ลทีวี, ใบปลิวประชาสัมพันธ์ , ข่าวประชาสัมพันธ์ , ป้ายไวนิล และผ่านสื่อวีดีโอ


นายมงคล มณีกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะทำงานด้านการประชาสัมพันธ์ ที่ร่วมประชุมในวันนี้ประกอบสื่อมวลชนในพื้นที่ จ.บึงกาฬ เช่น สวท.บึงกาฬ ส.ปชส.บึงกาฬ หนังสือพิมพ์ เคเบิ้ลทีวี วิทยุชุมชนฯ และได้กำหนดชี้แจงทำความเข้าใจกับองค์กรต่างๆ ในการส่งตัวแทนเข้าเป็นกรรมการสรรหา ป.ป.จ. ในวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ วิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ เริ่มตั้งแต่ เวลา ๐๙.๐๐ น. เป็นต้นไป 

ผู้ว่าฯมหาสารคามเตรียมทบทวนยุทธศาสตร์จังหวัดให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ

ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาตรวจราชการและมอบนโยบายยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม เตรียมความพร้อมที่จะทบทวนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดมหาสารคาม ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ทั้ง 4 ด้านตามนโยบายรัฐบาล

นายนพวัชร สิงห์ศักดา ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม กล่าวว่า ในโอกาสที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรีบางส่วน จะได้เดินทางมาตรวจราชการและมอบนโยบายยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด ระหว่างวันที่ 14-15 กรกฎาคม 2556 ที่จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดมหาสารคาม ขณะนี้จังหวัดมหาสารคาม ได้เตรียมความพร้อมในการนำเสนอข้อมูลด้านต่างๆ ไว้พร้อมแล้ว โดยในวันที่ 15 กรกฎาคม 2556 ที่จะมีการประชุมเชิงปฏิบัติการในการทบทวนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ นั้น สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้มีการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ของแต่ละจังหวัด ตามเกณฑ์ตัวชี้วัด และหากตัวชี้วัดด้านใด ที่ยังอ่อน หรือมีคุณภาพที่สูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ก็จะให้แต่ละจังหวัดได้วิเคราะห์ หรือทบทวน สำหรับจังหวัดมหาสารคาม ได้กำหนดยุทธศาสตร์จังหวัดไว้ 4 ด้าน คือ ปรับโครงสร้างการผลิตให้เอื้อต่อการผลิตและแปรรูปเกษตรอาหารและเกษตรพลังงานทดแทน ส่งเสริมอุตสาหกรรม เกษตรกรรม พานิชยกรรม และท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประชาชนพึ่งพาตนเองได้และรับผิดชอบต่อสังคม และการสร้างสังคมเอื้ออาทร สมานฉันท์ ซึ่งการทบทวนยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะมีการเพิ่มจุดแข็ง คือด้านการศึกษา โดยพร้อมที่จะพัฒนาให้จังหวัดมหาสารคามเป็นศูนย์กลางการบริการด้านการศึกษาในภูมิภาค รวมทั้งการปรับปรุงด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อรองรับโครงข่ายการคมนาคมของรัฐบาล และการทบทวนวิสัยทัศน์จังหวัดเพื่อสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่ปรับใหม่

ทั้งนี้ การทบทวนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดมหาสารคาม ที่จะมีการนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม กล่าวเพิ่มเติมว่า จะส่งผลดีให้เกิดแก่ประชาชนโดยเฉพาะการศึกษา การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเกี่ยวกับน้ำท่วม น้ำแล้ง เพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวของเกษตรกร ตลอดจนการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของจังหวัด




ส.ปชส.มหาสารคาม/ข่าว

เทศบาลเมืองมหาสารคาม จัดงานแห่เทียนพรรษา งดสุรา อบายมุข

เทศบาลเมืองมหาสารคาม จัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษา และพิธีปฏิญาณตนงดเหล้าเข้าพรรษา ประจำปี 2556 วันที่ 19 กรกฎาคม นี้ เพื่อสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ให้คงอยู่สืบไป

นายวัลลภ วรรณปะเถาว์ รองนายกเทศมนตรีเมืองมหาสารคาม กล่าวว่า เทศบาลเมืองมหาสารคาม จะได้จัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษา และพิธีปฏิญาณตนงดเหล้าเข้าพรรษาประจำปี 2556 ขึ้น ในวันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2556 ณ บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองมหาสารคาม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเชิญชวนให้ประชาชนได้ร่วมกิจกรรมและแสดงออกถึงความรัก ความสามัคคี ความเป็นผู้มีวัฒนธรรม จริยธรรม ลด ละ เลิก อบายมุขทั้งปวง อีกทั้งเพื่อเป็นการอนุรักษ์ สืบสานวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงานในการแห่เทียนพรรษาแก่เยาวชนคนรุ่นหลังได้เรียนรู้และคงอยู่ สืบไป

กิจกรรมภายในงาน เริ่มตั้งแต่เวลา 08.30 น. โดยขบวนแห่เทียนพรรษาจากทั้ง 17 วัด 30 ชุมชน ในเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม พร้อมกันที่สนามหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองมหาสารคาม นอกจากนี้ยังมีการลงนามปฏิญาณตนงดเหล้าเข้าพรรษา พร้อมขบวนแห่เทียนพรรษาจากทั้ง 17 วัด แห่ไปรอบเมืองทั้ง 4 สาย เหนือ ใต้ ออก ตก




ส.ปชส.มหาสารคาม/ข่าว

ชาวมหาสารคามทุกภาคส่วนพร้อมใจกันทำบุญตักบาตร เลี้ยงพระประกอบพิธีขับไล่สิ่งไม่เป็นมงคลออกไปจากบ้านเมืองในงานบุญซำฮะหรือบุญเดือน 7

เมื่อเช้าวันนี้ (11 กรกฎาคม 2556) ที่บริเวณลานพระประธานกันทรวิชัย สนามหน้าศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม นายนพวัชร สิงห์ศักดา ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม และพระเทพสิทธาจารย์ เจ้าคณะจังหวัดมหาสารคามและเจ้าอาวาสวัดมหาชัย พร้อมด้วยข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ชาวจังหวัดมหาสารคามทุกภาคส่วน ได้ร่วมกันทำบุญตักบาตร พระภิกษุสงฆ์ จำนวน 190 รูป ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุและประกอบพิธีเสกหิน ดิน ทราย น้ำพระพุทธมนต์ เพื่อนำไปปัดเป่าขับไล่สิ่งไม่เป็นมงคลออกไปจากหมู่บ้าน ชุมชน บ้านเมืองให้เกิดความเป็นสิริมงคล อยู่เย็น เป็นสุข และเกิดความสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง ภายหลังจากการประกอบพิธีทางศาสนาพุทธแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามได้ประกอบพิธีเลี้ยงข้าวดำ ข้าวแดง อาหารหวานคาว แด่ผีบ้าน ผีเมือง จากนั้นได้มีการแห่พระภิกษุสงฆ์และผู้มาร่วมพิธีรอบพระประธานกันทรวิชัย 3 รอบ ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป ประกอบพิธีขับไล่ปัดเป่าสิ่งที่ไม่เป็นมงคลที่บริเวณสี่แยกทางเข้าตัว เมืองมหาสารคาม ทั้ง 4 ทิศ คือ ทิศตะวันตกที่สี่แยกวิทยาลัยพลศึกษามหาสารคาม ทิศใต้ที่สี่แยกแก่งเลิงจาน ทิศเหนือที่สี่แยกท่าประทาย และทิศตะวันออกที่สี่แยกบ้านหม้อ โดยมีข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ชาวชุมชนต่างๆ มาร่วมพิธีจำนวนมาก เพื่อเป็นการอนุรักษ์ประเพณีบุญเดือน 7 หรือบุญซำฮะในฮีต 12 ของชาวภาคอีสานให้คงอยู่สืบไป




สมพงษ์ ปัตตานี/ข่าว ศิรินทรา แก้วบุญเรือง/พิมพ์

มหาสารคาม จับกุมแก๊งตุ๋นดาวน์รถยนต์ส่งขายประเทศเพื่อนบ้าน 11 ราย

ตำรวจภูธรภาค 4 พร้อมด้วย ตำรวจภูธรจังหวัดมหาสารคาม และ สภ.กันทรวิชัย รวบแก๊งตุ๋นดาวน์รถยนต์ส่งขายประเทศเพื่อนบ้าน ได้ผู้ต้องหา 11 ราย เหตุเกิดในท้องที่ สภ.กันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมตำรวจภูธรภาค 4 นำโดย พ.ต.อ.ณัฐนนท์ ประชุม ผกก.สส.1 และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กันทรวิชัย นำโดย พ.ต.อ.ณัฐชัย คงบุญ ผกก.สภ.กันทรวิชัย และเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน สภ.กันทรวิชัย ได้ร่วมกัน จับกุม ผู้ต้องหา คือ นางประภาศรี บุญเกตุ อายุ 53 ปี นางนุจรินทร์ ดลโสภณ อายุ 29 ปี นายณรงค์ฤทธิ์ เขียวอินทร์ อายุ 31 ปี นางฉันทนา สัจจวนิชย์ อายุ 34 ปี นายนภดล พรรณะ อายุ 47 ปี น.ส.เยาวเรศ สุทธิพรม อายุ 37 ปี นางลำพวล มงคลสินธุ์ อายุ 47 ปี น.ส.อัญชลี อุดรไสว อายุ 35 ปี นายคาน ภูพบบุญ อายุ 40 ปี นางพิมพิษรณ์ สิมารับ อายุ 43 ปี และนางสุภาพร ถนอมสมบัติ อายุ 36 ปี รวมผู้ต้องหาทั้งหมด 11 คน โดยทั้งหมดเป็นชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลจังหวัดมหาสารคาม ในความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกง” รถยนต์จำนวน 37 คัน คิดเป็น ความเสียหายประมาณ 30 ล้านบาท จากร้าน รัตนพานิช เต็นท์รถของนายบันพจน์ ศรชัย อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม

เหตุเกิดเมื่อเดือน ตุลาคม ,พฤศจิกายน 2555 โดยกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้มาทำการเช่าซื้อรถยนต์มือสอง จากร้านรัตนพานิช รวมจำนวน 37 คัน โดยผู้ต้องหาจะดาวน์รถยนต์ในราคาประมาณ 50,000 - 100,000 บาท สลับกันเป็นผู้ซื้อและผู้ค้ำประกัน เมื่อทำการเช่าซื้อรถยนต์แล้วจะนำไปส่งมอบให้กับ นายทุน ชื่อเล่น "เจ๊ ต.” ซึ่งจะเป็นผู้ออกเงินค่าดาวน์รถ ผู้ค้ำประกัน ค่าดำเนินการ และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องประกอบการเช่าซื้อรถให้ ซึ่งหลังจาก นายทุน ได้รับรถแล้ว จะนำส่งออกขายต่อยังประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนผู้ต้องหาจะได้รับค่าจ้างคันละ 20,000 - 30,000 บาท โดยจะตะเวนออกดาวน์รถตามเต็นท์รถมือสอง ในหลายจังหวัดในภาค อีสาน เช่น อุดรธานี ขอนแก่น มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด ซึ่งขณะนี้กำลังสืบสวนหาข้อมูลเพื่อดำเนินคดีกับ นายทุน หรือ เจ๊ ต. ที่ว่าจ้างผู้ต้องหากลุ่มดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป




ส.ปชส.มหาสารคาม / ข่าว