วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ศิลปินเลือดสุรินทร์ จัดเดี่ยวแสดงนิทรรศการภาพวาดในจังหวัด"ก่อนดวงตาของฉันจะมืดมิด ภาค 2"

ศิลปินเลือดสุรินทร์ จัดแสดงนิทรรศการภาพวาดในจังหวัด หวังกระตุ้นให้มีการแสดงงานศิลป์ในพื้นที่ต่างจังหวัด แทนการจัดอยู่แต่ในเมืองใหญ่ๆ

นายวัติชนม์ สำราญจริง นายช่างศิลป์ ชำนาญงาน สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ได้จัดแสดงผลงานศิลปะภาพวาด ใช้ชื่อว่า "ก่อนดวงตาของฉันจะมืดมิด ภาค 2” จากประวัติ สู่ วัติชนม์ ณ หอศิลปะร่วมสมัย มหาวิทยาราชภัฎสุรินทร์ ซึ่งครั้งนี้เป็นการแสดงเดี่ยว ผลงานทางศิลปะ ครั้งแรกของจังหวัดสุรินทร์ โดยผลงานที่นำแสดงเป็นผลงานในรอบ 30 ปี ที่ นายวัติชนม์ สำราญจริง สร้างสมประสบการณ์ในวงการศิลปะ จำนวน 50 ชิ้น มาแสดงให้นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป รวมทั้งนักเรียน นักศึกษา ผู้รักในงานศิลปะได้รับชมกัน โดยมีวิทยากรอาวุโส เช่น อาจารย์เสงี่ยม พวงคำ รศ.บัญยัง หมั่นดี อาจารย์เรื่องฤทธิ์ จันทคล้าย ร่วมเสวนาให้ความรู้แก่ผู้เข้ารับฟัง นายวัติชนม์ สำราญจริง กล่าวว่า เป็นการนำเสนอผลงานชุดเก่าที่เคยแสดงที่ หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร ในโอกาสที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เห็นว่าศิลปวัฒนธรรม มีความคิดส่งเสริมอนุรักษ์ ที่จะนำแสดงสัญจรที่ต่างจังหวัด ในฐานะที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ชาวจังหวัดสุรินทร์ ให้เป็นวิทยาฐานให้แก่นักศึกษาศิลปะ และบุคคลทั่วไปได้ชมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทย จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ก็ได้มีโอกาสได้ไปศึกษาดูงานถึงความเคลื่อนไหวด้านศิลปะ ที่ประเทศกัมพูชา และได้นำเอาเรื่องราวและประสบการณ์นำมาเสวนาให้นักศึกษาฟัง กอบกับ จังหวัดสุรินทร์ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 5 จังหวัดนำร่องด้านศิลปวัฒนธรรม โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนกิจกรรมศิลปวัฒนธรรมชุมชน ภายใต้กรอบการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาให้ครอบคลุมศิลปะ 4 ด้าน ประกอบด้วย ทัศนศิลป์ คีตศิลป์ วรรณศิลป์ และศิลปะการแสดง เพื่อเป็นการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นของจังหวัดสุรินทร์ ให้รู้จักอย่างแพร่หลาย รวมทั้งเพื่อให้การขับเคลื่อนงานศิลปวัฒนธรรมมีความชัดเจนและต่อเนื่อง จึงทำให้บุคคลหรือกลุ่มองค์กรด้านศิลปะ มุ่งที่จะขับดันและปฏิรูปวงการศิลปะในพื้นที่

ประชาชน และผู้ที่สนใจในศิลปะ ติดตามชมผลงานได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงสิ้นเดือน กรกฎาคม ณ หอศิลปะร่วมสมัย มหาวิทยาราชภัฎสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์




ส.ปชส.สุรินทร์ กำชัย  วันสุข / ข่าว
อนุชา  หาญนึก / ภาพ

จังหวัดอุบลราชธานี ระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน จัดเวทีประชาเสวนา พูดจา หาทางออกประเทศไทย

วันที่ 2 กรกฎาคม 2556 ที่สถานปฏิบัติการโรงแรมและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี สำนักพัฒนาชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี ได้จัดเวทีประชาเสวนา พูดจา หาทางออกออกประเทศไทย โดยมีกลุ่มเป้าหมายจำนวน 800 คน จากพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 4 ได้แก่ อำเภอวารินชำราบ อำเภอสำโรง (เฉพาะตำบลโคกก่อง และตำบลสำโรง) เขตเลือกตั้งที่ 8 ได้แก่ อำเภอสว่างวีระวงศ์ อำเภอนาเยีย อำเภอพิบูลมังสาหาร (ยกเว้นตำบลระเว) เขตเลือกตั้งที่ 10 ได้แก่ อำเภอน้ำยืน อำเภอทุ่งศรีอุดม อำเภอน้ำขุ่น อำเภอสำโรง (ยกเว้นตำบลโคกก่อง และตำบลสำโรง) อำเภอเดชอุดม (เฉพาะตำบลทุ่งเทิง) และเขตเลือกตั้งที่ 11 คืออำเภอเดชอุดม (ยกเว้นตำบลทุ่งเทิง)

การจัดเวทีประชาเสวนาในครั้งนี้ โดยการแบ่งกลุ่ม เพื่อระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนของสังคม เพื่อหาทางออกของประเทศไทยให้เข้าใจกับผู้เข้าร่วมสัมมนาถึงสถานการณ์และ เหตุผลของสภาพความขัดแย้งในสังคมไทย และจะมีการอภิปรายในช่วงครึ่งวัน จากนั้นจะนำประเด็นหลัก 9 ประเด็น ได้แก่ ความเข้าใจประชาธิปไตยแตกต่างกัน/ ความเคลือบแคลงในหลักนิติธรรม/ ตุลาการภิวัฒน์การแทรกแซงองค์กรอิสระ/ รัฐประหารและบทบาทของทหารในการจัดการความขัดแย้ง/ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม/ การขยายตัวของสื่อการเมืองและสื่อบุคคล/ การกล่าวอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อประโยชน์ทางการเมือง/ สังคมขาดองค์ความรู้ในการจัดการความขัดแย้งและสันติวิธี/ ความขัดแย้งแบบเดิมพันสูงไปอภิปรายกลุ่มย่อยในช่วงบ่าย ก่อนจะกลับมาสรุปผลการอภิปรายอีกครั้ง

สำหรับการจัดเวทีประชาเสวนาหาทางออกประเทศไทย จังหวัดอุบลราชธานี เวทีที่ 2 กำหนดจัดขึ้น ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี มหาวิทยาลัยราชธานี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และเวทีที่ 3 กำหนดจัดขึ้นที่ หอประชุมไพรพะยอม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี




จักรกฤษณ์ มาลาสาย/ข่าว

ทองปัก ทวีสุข/ภาพ

จังหวัดอุดรธานี ประกาศผลการคัดสรรผลิตภัณฑ์ OTOP เด่น ประจำปี 2556

บ่ายวันนี้ (2 ก.ค. 2556 ) ที่โรงแรมอุดรโฮเต็ล อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สำนักงานพัฒนาชุมชนได้ดำเนินการจัดการคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์ OTOP เด่นของจังหวัดอุดรธานี ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดอุดรธานี ได้รับมอบหมายจากกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ให้ดำเนินการจัดการคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์ OTOP เด่น จังหวัด (Provincial Star OTOP:PSO) ปี 2556 ขึ้น สำหรับผลิตภัณฑ์เด่นของจังหวัดต้องเป็นผลิตภัณฑ์เด่นของจังหวัดที่มีเอกลักผารื มีภูมิปัญญาท้องถิ่น มีคุณค่า เป็นที่นิยม มีศักยภาพด้านการผลิต และความสามารถด้านการตลาด โดยพิจารณาจากด้านผู้บริโภค และการส่งเสริมจากหน่วยงาน อีกทั้งต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่รู้จักแพร่หลายและมีผู้ประกอบการผลิตหลายราย ไม่ใช่เป็นผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตรายใด รายหนึ่ง

นายธนิต แสงพันธุ์ พัฒนาการจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า คณะกรรมการคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์ OTOP เด่น จังหวัดอุดรธานี ได้รับสมัคร ให้ผู้ผลิต ส่งผลิตภัณฑ์ OTOP เพื่อให้คณะกรรมการฯพิจารณาคัดสรร เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา โดยมีผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ส่งเข้าร่วมคัดสรร จำนวน 81 ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย ประเภทอาหาร 22 ผลิตภัณฑ์ เครื่องดื่ม 4 ผลิตภัณฑ์ ผ้า เครื่องแต่งกาย 38 ผลิตภัณฑ์ ของใช้ ของตกแต่ง ของที่ระลึก 9 ผลิตภัณฑ์ และสมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร 8 ผลิตภัณฑ์ ปรากฏว่า ผลิตภัณฑ์ OTOP เด่น จังหวัดอุดรธานี ประจำปี พ.ศ. 2556 ประกอบด้วย ประเภทอาหาร คือแหนมเนือง ประเภทเครื่องดื่ม คือ น้ำเสาวรสตราเพชร ประเภทผ้า เครื่องแต่งกาย คือ ผ้าไหมลายขิด ประเภทของใช้ ของตกแต่ง ของที่ระลึก หมอนอิงลายมรดกโลกบ้านเชียง และ ประเภทสมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร คือ โคลนผสมสมุนไพร ทั้งนี้ จังหวัดอุดรธานี จะได้ให้การสนับสนุนงบพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ และประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ OTOP เด่น ดังกล่าวให้เป็นที่รู้จัก แก่บุคคลทั่วไป พร้อมพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน ให้สามารถส่งออกจำหน่ายได้ในตลาดทั้งในและต่างประเทศ ต่อไป




พัฒนเดช ยศกรกุล ข่าว / ส.ปชส.อุดรธานี

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงษ์ พระราชทานพวงมาลาหลวงวางหน้าหีบศพ จ่าเอกพันศักดิ์ โสดาภักดิ์

(๑ ก.ค.๕๖) ที่บ้านเลขที่ ๑๕๔ บ้านนาหมอม้า ตำบลนาหมอม้า อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ  และพระบรมวงศานุวงษ์ทุกพระองค์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ โปรดกระหม่อม ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ อัญเชิญพวงมาลาหลวงพระราชทาน เพื่อวางหน้าหีบศพ จ่าเอกพันศักดิ์ โสดาภักดิ์ อายุ  ๒๖ ปี  กองพันทหารปืนใหญ่ กระสุนเบาวีถีโค้งที่ ๒ กรมทหารปืนใหญ่ กองพลนาวิกโยธิน ที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน  เวลา ๒๓.๐๐ น. จากเหตุการณ์หนีการชุ่มโจมตีของคนร้ายเพื่อเข้าที่พัก ซึ่งในขณะนั้นรถยนต์วิ่งมาด้วยความเร็วบวกกับมีฝนตกหนักเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ และจ่าเอก พันธ์ศักดิ์   โสดาภักดิ์   เสียชีวิตคาที่ ณ บ้านโคกอิฐ  อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่งเสียชีวิต ขณะปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนใต้

โดยมีนายอภิชาติ งามกมล รองผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ เป็นผู้แทนพระองค์ในการอัญเชิญพวงมาลาหลวงพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพวงมาลาหลวงของพระบรมวงศานุวงษ์ทุกพระองค์วางหน้าหีบศพ จ่าเอกพันศักดิ์ โสดาภักดิ์ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนชาวจังหวัดอำนาจเจริญ เข้าร่วมในพิธีอัญเชิญพวงมาลาหลวง ในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณและสร้างความปลาบปลื้ม ให้กับครอบครัวของ จ่าเอกพันศักดิ์ โสดาภักดิ์ ผู้เสียชีวิตเป็นล้นพ้น

สำหรับ จ่าเอกพันศักดิ์ โสดาภักดิ์ เป็นบุตรของ จ.ส.อ. ภักดี  โสดากักดิ์   และนางวิชุณี  โสภาภักดิ์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน 2530 อายุ ๒๖ ปี ที่บ้านเลขที่ ๑๕๔ หมู่ที่ ๑  บ้านนาหมอม้า  ตำบลนาหมอม้า อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ จบการศึกษานักเรียนจ่าทหารเรือ ปี ๒๕๕๒ และบรรจุรับราชการประจำกองพันทหารปืนใหญ่ กระสุนเบาวีถีโค้งที่ ๒ กรมทหารปืนใหญ่ กองพลนาวิกโยธิน และมาเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนใต้ เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๖  จากจากเหตุการณ์หนีการชุ่มโจมตีของคนร้าย และทำให้รถยนต์เกิดอุบัติเหตุ  ณ บ้านโคกอิฐ  อ.ตากใบ จ.นราธิวาส

โดยพิธีบำเพ็ญกุศลศพ จ่าเอกพันศักดิ์ โสดาภักดิ์ จะมีการสวดอภิธรรม ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๙.๐๐ น. และกำหนดพิธีพระราชทานเพลิงศพ ในวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๕.๐๐ น. ณ วัดโพธิ์ศรี บ้านนาหม้อม้า ตำนาหมอม้า  อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ




จรูญ  พิตะพันธ์/ข่าว

จังหวัดสระแก้วจัดพิธีรับคณะกรรมการตรวจสอบหมู่บ้าน อพป.ประจำปี2556

ณ บ้านโคกสะแบง หมู่ที่4 ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว นายชูศักดิ์ ตรีสาร รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว นำหัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ หัวหน้าหมู่บ้าน ให้การต้อนรับคณะ พลตรี นิรันดร สมุทรสาคร เสนาธิการกองทัพน้อยที่1พร้อมคระกรรมการตรวจสอบหมู่บ้าน อพป.ปี2556 จากนั้นได้กระทำพิธีเทิดทูนสถาบันของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ที่ทรงมีพระเมตตาห่วงใยปวงประชาชาวไทย ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ จากแนวพระราชดำริ ปรัชยาเศรษฐกิจพอเพียง ให้คนไทยทุกคนเกิดจิตสำนึก สืบทอดนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อการดำชีวิต แบบพอเพียงต่อปวงชนชาวไทย 1. จากนั้นคณะคณะกรรมการตรวจสอบหมู่บ้าน อพป.ประจำปี2556 นำโดยพลตรี นิรันดร สมุทรสาคร เสนาธิการกองทัพน้อยที่1ตรวจให้คะแนนแต่ละจุดในหมู่ บ้านโคกสะแบง หมู่ที่4 ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จากนั้นได้ชมการสาธิต การตั้งจุดสกัดสิ่งที่ผิดกฎหมายเช่น ยาเสพติด และการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ การพัฒนาระบบการเฝ้าระวังและการแจ้งเตือนภัย ช่วยเหลือประชาขนในพื้นที่เสี่ยงภัย ฟื้นฟูสภาพ พื้นที่และจิตใจรวมทั้งอาชีพของผู้ประสบภัย อาทิน้ำท้วมที่เกิดขึ้นทุกปี ของพื้นที่ บ้านโคกสะแบง หมู่ที่4 ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ที่มีฝนตกหนัก

จังหวัดสระแก้ว ระดมทุกภาคส่วนร่วม เวทีประชาเสวนาหาทางออกประเทศไทย “พูดจาหาทางออกประเทศไทย”

เมื่อ 29 มิ.ย. 56 ที่มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตสระแก้ว ดร.ไชยา กุฎาคาร ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิทยาเขตสระแก้ว มหาวิทยาลัยบูรพา นายดนัย ปานนิตย์กุล พัฒนาการจังหวัดสระแก้ว ให้การต้อนรับนายภัครธรณ์ เทียนไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว นายชูศักดิ์ ตรีสาร รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว เข้าร่วมสังเกตการณ์ในการจัดเวทีประชาเสวนาหาทางออกประเทศไทย "พูดจาหาทางออกประเทศไทย” เพื่อให้ทุกฝ่ายในสังคมได้เข้าใจถึงสาเหตุแห่งความขัดแย้ง และแนวทางในการปรองดอง มิให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีก สำหรับการจัดเวทีประชาเสวนาหาทางออกประเทศไทย ของจังหวัดสระแก้ว ครั้งนี้มีประชาชนชาวจังหวัดสระแก้วใน 9 อำเภอ เข้าร่วมเสวนา กว่า 600 คน ประกอบด้วย ส่วนภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตำรวจ ทหาร พระภิกษุสงฆ์ นักเรียน นักศึกษา  เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นการหาทางออกของประเทศไทย สร้างความเข้าใจร่วมกันของสังคมต่อแนวทางการหาทางออกประเทศไทย และร่วมกันหาข้อเสนอที่สร้างสรรค์ในการยุติความขัดแย้ง ในหลากหลายประเด็นแห่งปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น อาทิ ความเข้าใจประชาธิปไตยที่แตกต่างกัน ความเคลือบแคลงในหลักนิติธรรม การรัฐประหาร ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม  การขยายตัวของสื่อการเมืองและสื่อบุคคล การกล่าวอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ สังคมขาดองค์ความรู้ในการจัดการความขัดแย้ง ความขัดแย้งแบบเดิมพันสูง เป็นต้น ซึ่งแต่ละคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ เต็มที่ในทุกประเด็นปัญหาของความขัดแย้ง ทั้งนี้ความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคส่วน จะรวบรวมนำไปสู่ข้อเสนอหาทางออกประเทศไทย  นอกจากนี้สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดสระแก้ว เอฟ เอ็ม 103.25 เมกกะเฮิร์ต ร่วมถ่ายทอดเสียงเวทีเสวนาในครั้งนี้ด้วย

จังหวัดสระแก้ว จัดกิจกรรมเดินรณรงค์เพื่อยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ สนับสนุนแนวพระราชดำริ แสดงความจงรักภักดี น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา

เช้าวันนี้ (2 ก.ค. 56) ที่บริเวณหน้าวัดสระแก้ว พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว นายชูศักดิ์ ตรีสาร รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว เป็นประธานในพิธีเปิด โครงการรณรงค์เพื่อยุติความรุนแ รงต่อผู้หญิง ในปี 2556 สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและ ช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน สำนักงานอัยการจังหวัดสระแก้ว และองค์การบริหารส่วนจังหวัดสระ แก้ว จัดขึ้นเพื่อเป็นการเทิดพระเกีย รติ สนับสนุนแนวพระราชดำริ แสดงความจงรักภักดี น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ที่พระองค์ทรงห่วงใยและให้ความสำคัญกับปัญหาการใช้ความรุนแรงต่ อผู้หญิง และทรงรับเป็นองค์ทูตสันถวไมตรี ของกองทุนการพัฒนาเพื่อสตรีแห่ง สหประชาชาติ หรือยูนิเฟม สำนักงาอัยการสูงสุด เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบงา นด้านยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงใ นประเทศไทย ตามแนวพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา จึงน้อมนำดำริดังกล่าวมาดำเนินก ารจัดทำกิจกรรม "โครงการเดินรณรงค์เพื่อยุติควา มรุนแรงต่อผู้หญิง” ขึ้น เพื่อสนองพระดำริและความต่อเนื่ องให้เป็นรูปธรรมเพื่อนำขึ้นทูล ถวาย พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา การจัดกิจกรรมเดินรณรงค์เพื่อยุ ติความรุนแรงต่อผู้หญิงครั้งนี้  มี ข้าราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักเรียน และประชาชนเข้าร่วมในกิจกรรม กว่า 1,000 คน โดยเดินจากหน้าวัดสระแก้ว พระอารามหลวง ถึงหน้าองค์การบริหารส่วนจังหวั ดสระแก้ว หลังเก่า

นายชูศักดิ์ ตรีสาร รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า ปัจจุบันสภาพปัญหาสังคมไทยมีควา มซับซ้อนมากขึ้นและสภาพปัญหาผู้ หญิงถูกรังแก ด้วยความรุนแรงไม่ว่าจะเป็นบุคค ลใกล้ชิดหรือบุคคลภายนอก ถือเป็นปัญหาเรื้องรังที่ฝังราก ลึกอยู่ในสังคมไทยมาช้านาน มักถูกมองข้าม นิ่งเฉย มีทัศนคติที่ผิดว่าเป็นเรื่องคร อบครัวที่ต้องแก้ไขเอง การที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้น้อมนำเอาแนวพระดำริของพระเจ้าหล านเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา มาเป็นหนึ่งในภารกิจเพื่อเป็นกา รปลูกฝังค่านิยม ลดปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงในป ระเทศไทยนั้น โครงการที่ดีและสมควรที่จะได้รั บการสานต่อสืบไป 

หน่วยตำรวจสันติบาลศรีสะเกษ สร้างเครือข่ายพลังเยาวชน พิทักษ์สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

นายพินิจ  วงษ์โสภา  ประชาสัมพันธ์จังหวัดศรีสะเกษ รายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 2 ก.ค. 56 ที่โรงเรียนสิริเกศน้อมเกล้า ถนนศรีสะเกษ – อุทุมพรพิสัย ตำบลหญ้าปล้อง อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ นายอุทัย สาคำภีร์, ผู้อำนวยการโรงเรียนสิริเกศน้อมเกล้า เป็นประธานเปิดฝึกอบรมโครงการ สร้างจิตสำนึกต่อพระมหากษัตริย์” ซึ่งหน่วยตำรวจสันติบาลศรีสะเกษ ได้จัดขึ้น เพื่อเป็นการรณรงค์สร้างจิตสำนึก และค่านิยมให้แก่เยาวชนให้มีความเคารพและเทิดทูนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนจัดตั้งเครือข่ายดำเนินการสร้างจิตสำนึกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และต่อต้านภัยคุกคามต่างๆที่มีผลกระทบต่อสถาบันโดยมี พันตำรวจโท โกวิทย์ อินทร์วร สารวัตรหัวหน้าหน่วยสันติบาลศรีสะเกษ นำ นักเรียนในระดับชั้นมัธยมตอนปลาย จากโรงเรียนสิริเกน้อมเกล้า จำนวน 100 คน เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้
 
ในโอกาสเดียวกันนี้ คณะหน่วยตำรวจสันติบาลศรีสะเกษ ได้มอบอุปกรณ์การกีฬาให้กับโรงเรียนสิริเกษน้อมเกล้า เพื่อนำไปใช้ในการเสริมสร้างทักษะด้านการกีฬา พัฒนาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
 
 พันตำรวจโท โกวิทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันสังคมไทยกำลังเผชิญกับความขัดแย้งที่มีจุดเริ่มต้นจากมิติทางการ เมือง ซึ่งมีบุคคลและกลุ่มบุคคล เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและการกระทำโดยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์ การเขียนข้อความออกเผยแพร่เป็นหนังสือ เอกสาร แผ่นปลิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดต่อสื่อสารทาง Internet ซึ่งสามารถเผยแพร่ในปริมาณมากและเป็นไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งทำให้ประชาชนเกิดวามสับสนในข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ การกระทำของบุคคลและกลุ่มบุคคลเหล่านี้มักจะอ้างอิงสถาบันให้ประชาชนหลง เชื่อ เป็นเหตุให้มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีความเคลื่อนไหวจากเมืองไปสู่ชนบท เพื่อรวมตัวเป็นกลุ่มพลังมวลชนขนาดใหญ่ เข้าไปเคลื่อนไหวก่อความไม่สงบหรือกระทำการใดๆที่มีผลกระทบต่อความศรัทธา เชื่อมั่นต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
 
พันตำรวจโท โกวิทย์ กล่าวต่อไปว่า หน่วยตำรวจสันติบาลจังหวัดศรีสะเกษ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของกลุ่มคนที่จะเข้ามาทำความหม่นหมองให้กับสถาบันของ ชาติ จัดให้มีการอบรมเพื่อส่งเสริมให้ความรู้ความเข้าใจ ในการสร้างจิตสำนึกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ให้กับนักเรียนโรงเรียนสิริเกศ น้อมเกล้า ขึ้น เพื่อรณรงค์สร้างจิตสำนึก และค่านิยมให้แก่เยาวชนมีความเคารพรักเทิดทูนและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และให้เยาวชนเป็นอีกส่วนหนึ่งในการเข้ามามีส่วนร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่ง ชาติ ในการพิทักษ์สถาบันชาติ โดยจะมีการจัดตั้งเครือข่ายเพื่อนำไปสู่การดำเนินการสร้างจิตสำนึกต่อสถาบัน พระมหากษัตริย์ เสริมสร้างความเข้มแข็งและสนับสนุนเครือข่ายที่ต้องการแสดงออกถึงความจงรัก ภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และต่อต้านภัยคุกคามต่างๆที่มีผลกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์




จิรภัทร  หมายสุข / ภาพ/ข่าว

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดศรีสะเกษ

ตร.ศรีสะเกษ โชว์ผลงาน ยึดรถซิ่ง 22 คัน พร้อมเสริมมาตรการเข้ม กวาดล้างเด็กแว้น ที่ออกป่วนเมืองศรีสะเกษ ช่วงวันศุกร์-เสาร์


เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 2 ก.ค.56 ที่บริเวณลานอเนกประสงค์หน้ากองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ พล.ต.ต.พงษ์วุฒิ พงษ์ศรี ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองศรีสะเกษ แถลงข่าวผลการปฏิบัติการบริหารจัดการหมายจับคดีค้างเก่าจำนวน 17 หมายจับ ผู้ต้องหารวม 17 คน คดีเกี่ยวกับทรัพย์จำนวน 7 หมายจับ คดีเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายจำนวน 4 หมายจับ คดีเกี่ยวกับอาวุธจำนวน 3 หมายจับ คดีอื่นๆ (พ.ร.บ.เลือกตั้ง พ.ร.บ.ป่าไม้ ยาเสพติด) จำนวน 3 หมายจับ และผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมและยาเสพติดห้วงระหว่างวันที่ 15 มิ.ย.-1 ก.ค.2556 โดยสามารถจับกุมคดียาเสพติดจำนวน 18 ราย ของกลางยาบ้าจำนวน 135 เม็ด กัญชา 6 ต้น กัญชาแห้ง 0.25 กรัม ผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์จำนวน 1 ราย และผู้ต้องหาฉ้อโกงประชาชนจำนวน 1 ราย ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม สภ.เมืองศรีสะเกษ ยังสามารถสกัดจับแก็งรถซิ่ง และสามารถยึดของกลางเป็นรถจักรยานยนต์ 22 คัน

พล.ต.ต.พงษ์วุฒิ กล่าวว่า สำหรับจักรยานยนต์ที่ทางเจ้าหน้าที่ ตำรวจสามารถตรวจยึดได้ เป็นรถจักรยานยนต์ที่กลุ่มวัยรุ่นนำไปปรับแต่งเครื่องยนต์และท่อไอเสีย เพื่อนำไปใช้ในการแข่งขันกับบนท้องถนน ซึ่งสร้างเดือดร้อนและความรำคาญให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัด ศรีสะเกษเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ตนได้สั่งการไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ทุกนาย ให้มีการออกตรวจตราร้านรับซื้อรถจักรยานยนต์มือสอง และร้านปรับแต่งสภาพรถจักรยานยนต์ เพื่อป้องกันการดัดแปลงรถจักรยานยนต์ที่ผิดกฎหมาย ตลอดจนการตั้งด่านสกัดจับกุม กลุ่มวัยรุ่นที่รวมตัวกันขับขี่รถจักรยานยนต์ซิ่งกวนเมือง ในช่วงวันศุกร์ และวันเสาร์ เพื่อเป็นการสร้างความสงบให้กับพี่น้องประชาชนชาวศรีสะเกษ


พล.ต.ต.พงษ์วุฒิ กล่าวต่อไปว่า สำหรับในส่วนของผู้ปกครองที่ปล่อยให้ลูกหลานออกมาขับรถจักรยานยนต์ซิ่งกวน เมืองนั้น เบื้องต้นหากถูกจับกุมได้และเป็นการกระทำผิดครั้งแรก จะมีการเรียกผู้ปกครองเพื่อว่ากล่าวตักเตือนและนำตัวผู้กระทำผิดกลับบ้าน แต่หากพบว่ามีการกระทำผิดที่ซ้ำซาก โดยเกรงกลัวต่อกฎหมาย ผู้ที่กระทำผิดก็จะถูกลงโทษตามกฎหมายสถานหนักโดยไม่มีข้อยกเว้น

ฯพณฯนายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงพื้นที่จังหวัดมุกดาหารวันที่สอง


นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรี เดินทางไปตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของวิทยาลัยการอาชีพนวมนิทราชินีมุกดาหาร โดยนายสกลสฤษฏ์ บุญประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ สมาชิกสภาผู้ราษฎร เขต ๑ ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพนวมินทราชินีมุกดาหาร พร้อมหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดมุกดาหารและนักเรียนวิทยาลัยการอาชีพนวมิ นทราชินีมุกดาหารให้การต้อนรับเป็นจำนวนมาก

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมกิจกรรมของนักศึกษาและผลงานจากเรียนการสอน อาทิ ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน หรือ Fix It Center ซึ่งเป็นโครงการให้บริการซ่อมบำรุงรักษาเครื่องมืออุปกรณ์การประกอบอาชีพและ เครื่องใช้ในครัวเรือนแก่ประชาชนในท้องถิ่นรวมทั้งเยี่ยมชมการสาธิตนวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ของนักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษา เครื่องสีข้าวกล้องงอก เครื่องปอกตีไยขุยมะพร้าว เครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ ด้วยความสนใจอย่างยิ่ง ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานปล่อยคาราวานศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน เพื่อออกไปให้บริการซ่อมบำรุงเครื่องมือเครื่องใช้ภายใต้สโลแกน "ซ่อมถึงบ้าน บริการถึงที่”แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร

จากนั้นเดินทางไปยังโรงแรมริเวอร์ซิตี้ แกรนด์ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการแนวทางการทบทวนแผนพัฒนาจังหวัดและการจัด ทำตัวชี้วัดการพัฒนาจังหวัดมุกดาหารและจังหวัดยโสธร เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ โดยมีเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมให้ คำแนะนำแก่ทั้งสองจังหวัด หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ให้ข้อเสนอแนะแผนพัฒนาจังหวัดเพื่อให้เกิดการ พัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญและชื่นชมวิถีชีวิตวัฒนธรรมภูไทและการ ท่องเที่ยวโฮมสเตย์ บ้านภู อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร จากนั้นได้เดินทางไปยังวัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร เพื่อพบปะกับประชาชนที่มาให้การต้อนรับเป็นจำนวนมาก และเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร เป็นการเสร็จสิ้นการปฏิบัติภารกิจลงพื้นที่จังหวัดมุกดาหารของ ฯพณฯนายกรัฐมนตรีตลอดห้วงระยะเวลาระหว่าง วันที่ ๓๐ มิถุนายน – ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖




สุภาวดี อัมไพพันธ์ ส.ปชส.มุกดาหาร/ข่าว

พิพัฒน์ เพชรสังหาร /สุระณรงค์ อ่อนสนิท/ภาพ

จังหวัดมุกดาหารจัดโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินีฯ

(๒ ก.ค. ๕๖) ที่บริเวณวัดป่าวิเวกวัฒนาราม บ้านห้วยทราย ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร นายบุญยืน คำหงษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เป็นประธานในพิธีปลูกป่าตามโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ นับเป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับชาวไทยรวมทั้งพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดมุกดาหาร ได้มีการแสดงความจงรักภักดีและร่วมเฉลิมพระเกียรติฯ

นายสมัคร ดอนนาปี ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดมุกดาหาร กล่าวว่า การจัดโครงการดังกล่าวได้กำหนดจัดขึ้นในทุกจังหวัด สำหรับจังหวัดมุกดาหารได้ร่วมกับวัดป่าวิเวกวัฒนาราม อำเภอคำชะอี โรงเรียนบ้านห้วยทราย ๑ องค์การบริหารส่วนตำบลคำชะอี บนพื้นที่ประมาณ ๑๐ ไร่ กล้าไม้ที่ปลูก จำนวน ๒,๐๐๐ กล้า

รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร กล่าวภายหลังการปลูกป่าว่า การจัดกิจกรรมดังกล่าว นอกจากเราจะได้มีโอกาสแสดงความจงรักภักดีต่อสมเด็จนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถแล้ว ยังเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร รวมทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกให้กับพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดมุกดาหารในการ อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสิ่งแวดล้อม และขอให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการบำรุงรักษาต่อไป



 
สุภาวดี อัมไพพันธ์ ส.ปชส.มุกดาหาร/ข่าว

พิพัฒน์ เพชรสังหาร/สุระณรงค์ อ่อนสนิท/ภาพ

ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกก ผ้าทอลายสร้อยดอกหมาก ข้าวหอมนิล สุดยอด OTOP เด่น มหาสารคาม

มหาสารคามประกาศผลคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์OTOP เด่น ประจำปี 2556 โดย ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกก ผ้าทอลายสร้อยดอกหมาก ข้าวหอมนิล ข้าวฮาง ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการ พร้อมพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน เพื่อส่งออกต่อไป

นายนพวัชร สิงห์ศักดา ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม ลงนามในประกาศจังหวัดมหาสารคาม เรื่อง ประกาศผลการคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์ OTOP เด่น จังหวัดมหาสารคาม (Provincial Star OTOP:PSO) พ.ศ. 2556 ซึ่งจังหวัดมหาสารคาม โดยคณะกรรมการคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์ OTOP เด่น จังหวัด ได้ร่วมกันคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่ทั้ง 13 อำเภอ ของจังหวัดมหาสารคาม ได้ทำการคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์ OTOP เด่นระดับอำเภอ ที่ขึ้นทะเบียนไว้ ส่งให้คณะกรรมการระดับจังหวัด พิจารณาให้เป็นสุดยอดผลิตภัณฑ์ OTOP เด่นของจังหวัด ซึ่งมีผลิตภัณฑ์เด่นระดับอำเภอ จำนวน 31 ผลิตภัณฑ์ แยกเป็น 5 ประเภท คือ ประเภทของใช้/ของตกแต่ง/ของที่ระลึก จำนวน 8 ผลิตภัณฑ์ , ประเภทอาหาร 6 ผลิตภัณฑ์ , ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย จำนวน 14 ผลิตภัณฑ์ , ประเภทเครื่องดื่ม 2 ผลิตภัณฑ์ และประเภทสมุนไพรที่ไม่ใช่อาหารและยา 1 ผลิตภัณฑ์ เสนอเข้ามาร่วมคัดสรร

ผลการคัดสรร ตามประกาศจังหวัดมหาสารคาม ปรากฏว่า ผลิตภัณฑ์ OTOP เด่น จังหวัดมหาสารคาม ประจำปี พ.ศ. 2556 ประกอบด้วย ประเภทของใช้ ของตกแต่ง ของที่ระลึก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกก ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย ได้แก่ ผ้าไหม/ผ้าฝ้ายลายสร้อยดอกหมาก และประเภทอาหาร ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ ที่เป็นข้าวหอมนิล/ข้าวฮาง

ทั้งนี้ จังหวัดมหาสารคาม จะได้ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ OTOP เด่น ดังกล่าวให้แพร่หลาย แก่บุคคลทั่วไป พร้อมพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน ให้สามารถส่งออกจำหน่ายได้ในตลาดทั้งในและต่างประเทศ ต่อไป



ส.ปชส.มหาสารคาม/ข่าว

กาชาดมหาสารคามเร่งช่วยเหลือ “น้องขวัญใจ” เด็กปานดำ

นายกเหล่ากาชาดมหาสารคาม พร้อมด้วยคณะกรรมการเหล่ากาชาด นำของเล่น นมสด ถุงยังชีพ และเงินสด มอบให้กับครอบครัว "น้องขวัญใจ” เด็กที่มีปานดำขึ้นบริเวณลำตัว ล่าสุดแพทย์จากโรงพยาบาลมหาสารคาม นำชิ้นเนื้อส่งตรวจที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ขอนแก่น เพื่อหาทางรักษาต่อไป

หลังจากที่ข่าวของน้องขวัญใจ หรือ ด.ญ.สิรินทรา พึ่งเย็น อายุประมาณ 3 ขวบ อยู่ที่จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งมีปานดำขึ้นที่บริเวณลำตัวทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ได้รับการเผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ นั้น ในวันนี้ (2-7-56) นางพูลทรัพย์ สิงห์ศักดา นายกเหล่ากาชาดจังหวัดมหาสารคาม พร้อมด้วยคณะกรรมการเหล่ากาชาด ก็ได้เดินทางมาที่บ้านเลขที่ 1113/183 บริเวณตึกแถวให้เช่า ถนนเทศบาลอาชา ซึ่งเป็นบ้านพักที่ "น้องขวัญใจ” อาศัยอยู่กับตา-ยาย และพ่อแม่ ก็คือนายสุนทรา ชันครบุรี และ น.ส.ธัญลักษณ์ พึ่งเย็น โดยนายกเหล่ากาชาดได้นำตุ๊กตา นมสด พร้อมด้วยถุงยังชีพ และเงินสดอีกจำนวน 10,000 บาท มามอบให้กับครอบครัวของน้องขวัญใจ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ขอนแก่น จนกว่าจะหายขาด

นอกจากจากนี้ทีมแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลมหาสารคาม ก็ยังได้ให้ความช่วยเหลือในด้านการรักษา โดยได้ผ่าตัดเพื่อนำชิ้นเนื้อส่งตรวจที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ขอนแก่น ขณะที่นักสังคมสงเคราะห์ก็จะมาเยี่ยมบ้านเพื่อพุดคุยกับน้องขวัญใจและพ่อแม่

นอกจากนี้ยังมีส่วนราชการอีกหลายหน่วยงานเช่น บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดมหาสารคาม สำนักงานการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ศูนย์พัฒนาสังคม หน่วยที่ 41 จังหวัดมหาสารคาม ก็ได้มอบเงินสงเคราะห์เบื้องต้นให้ครอบครัวน้องขวัญใจด้วย น.ส.ธัญลักษณ์ พึ่งเย็น ซึ่งเป็นแม่ของน้องขวัญใจ กล่าวขอบคุณและซาบซึ้งในน้ำใจของทุกฝ่ายที่ได้ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วย เหลือ โดยมีความหวังว่าลูกสาวจะมีโอกาสหายเป็นปกติ



ส.ปชส.มหาสารคาม/ข่าว

คณะกรรมการกีฬาจังหวัดมหาสารคามมีมติเห็นชอบเสนอขอเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 45 ในปี 2559

คณะกรรมการกีฬาจังหวัดมหาสารคามมีมติเห็นชอบเสนอขอเป็นเจ้าภาพจัดการ แข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 45 ในปี 2559 ส่วน ดร.ยิ่งยศ อุดรพิมพ์ ก็ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกสมาคมกีฬาจังหวัดมหาสารคามอีก 1 สมัย 2 ปี

2-7-56 ในการประชุมคณะกรรมการกีฬาจังหวัดมหาสารคาม ครั้งที่ 6/2556 ที่ศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งมีนายนพวัชร สิงห์ศักดา ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม ในฐานะประธานคณะกรรมการกีฬาจังหวัดมหาสารคาม เป็นประธานการประชุม ที่ประชุมซึ่งประกอบด้วยผู้แทนส่วนราชการ ผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม ผู้แทนสโมสรไลออนมหาสารคาม ผู้แทนภาคธุรกิจ เอกชน และนายกสมาคมกีฬาจังหวัดมหาสารคาม ได้มีมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ ให้จังหวัดมหาสารคาม เสนอตัวขอรับเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 45 ในปี 2559 เนื่องจากเห็นว่าจังหวัดมหาสารคาม มีความพร้อมในเรื่องของสนามจัดการแข่งขัน , บุคลากรด้านกีฬา และความสนใจของประชาชนต่อการเล่นกีฬา โดยเฉพาะแรงผลักดันที่สำคัญ คือ การที่จังหวัดมหาสารคาม ประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติครั้งที่ 29 ในต้นปี 2556 ที่ผ่านมาอย่างงดงาม ในการประชุมคณะกรรมการกีฬาจังหวัดมหาสารคาม


ในครั้งนี้ศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทยได้แจ้งให้ที่ประชุมได้รับทราบผลการ เลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาจังหวัดมหาสารคาม แทน ดร.ยิ่งยศ อุดรพิมพ์ ที่ดำรงตำแหน่งครบวาระว่า ผู้ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาจังหวัดมหาสารคามอีกสมัย คือ ดร.ยิ่งยศ อุดรพิมพ์ โดยจะอยู่ในวาระอีก 2 ปี นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการกีฬาจังหวัดมหาสารคามยังมีมติเห็นชอบให้สมาคม กีฬาจังหวัดมหาสารคามจัดส่งนักกีฬาคนพิการ จำนวน 16 คน รวม 2 ชนิดกีฬา คือ เปตองและกรีฑา ในนามจังหวัดมหาสารคาม ไปเข้าร่วมแข่งขันกีฬาคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 23 รอบคัดเลือกภาค 3 ระหว่างวันที่ 8 – 12 กรกฎาคม 2556 ณ จังหวัดนครราชสีมา และเห็นชอบให้ความร่วมมือจังหวัดร้อยเอ็ด ในการขอความร่วมมือจังหวัดมหาสารคามเป็นเจ้าภาพร่วมจัดการแข่งขันกีฬาแห่ง ชาติ ครั้งที่ 42 รอบคัดเลือกตัวแทนภาค 3 ระหว่างวันที่ 2 – 12 กันยายน 2556 โดยจะมาจัดการแข่งขันที่ จังหวัดมหาสารคาม รวม 3 ชนิดกีฬา คือ กีฬาว่ายน้ำ และรักบี้ ฟุตบอล ณ สนามของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และกรีฑา ณ สนามสถาบันการพลศึกษาวิทยาเขตมหาสารคาม




สมพงษ์ ปัตตานี/ข่าว
ศิรินทรา แก้วบุญเรือง/พิมพ์

ชาวอำเภอกุดรัง จ.มหาสารคาม รวมพลังประกาศเป็นอำเภอปลอดภัย ห่างไกลยาเสพติด

(2-07-56) ที่หอประชุมโรงเรียนนาโพธิ์พิทยาสรรพ์ ตำบลนาโพธิ์ อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม นายกานต์ ศรีบุญลือ นายอำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม นำข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. กลุ่มผู้นำสตรี ผู้นำมวลชน นักเรียน และประชาชนในพื้นที่อำเภอกุดรัง รวมพลังกล่าวคำปฏิญาณประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านยาเสพติด และจะทำให้อำเภอกุดรังเป็นอำเภอปลอดภัย ร่มรื่นสดใส ห่างไกลจากยาเสพติดทุกชนิด โดยมีนายนพวัชร สิงห์ศักดา ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม เป็นประธานมอบธงสีขาวหมู่บ้านปลอดยาเสพติดจำนวน 10 หมู่บ้าน และมอบเกียรติบัตรผู้ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่น ด้านการสร้างเครือข่ายความเข้มแข็งในชุมชน แก่ ร.ต.ต.สำรวย อะโน รอง สวป.สภ.กุดรัง

นายนพวัชร สิงห์ศักดา ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม กล่าวว่า จังหวัดได้จัดเตรียมชุดตรวจปัสสาวะให้กับทุกองค์กร โดยเฉพาะสถานศึกษา ในปี 2556 พบว่า เด็กอายุ 11 ปี หรือประมาณ ป.5 เริ่มเข้ามายุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดแล้ว ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก สำหรับผู้ที่สมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษา จะไม่ถือว่ามีความผิดใดๆ จังหวัดจะถือว่าเป็นผู้ป่วย

ด้านนายกานต์ ศรีบุญลือ นายอำเภอกุดรัง กล่าวว่า อำเภอกุดรัง มีพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด จำนวนทั้งสิ้น 85 หมู่บ้าน รวม 2,618 คน แยกเป็นหมู่บ้านชุมชนเข้มแข็งประเภท ก. จำนวน 10 หมู่บ้าน ประเภท ข. จำนวน 54 หมู่บ้าน และประเภท ค. จำนวน 21 หมู่บ้าน ส่วนในปี 2556 มีเป้าหมายการบำบัดรักษาผู้เสพและผู้ติดยาเสพติด จำนวน 200 คน โดย อบต.กุดรัง นำผู้เสพและผู้ติดยาเสพเข้ารับการบำบัดแล้ว 37 คน และเตรียมเข้ารับการบำบัดเพิ่มอีก 60 คน จาก อบต.นาโพธิ์ และ อบต.หนองแวง ซึ่งการแสดงพลังในครั้งนี้ เป็นการกระตุ้นให้ประชาชนชาวอำเภอกุดรัง ได้ตระหนักถึงบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบร่วมกัน ในการเข้ามามีส่วนร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดให้หมดสิ้นไปจากอำเภอกุด รัง ให้เป็นอำเภอปลอดภัย ร่มรื่นสดใส ห่างไกลจากยาเสพติดทุกชนิด ตามเจตนารมณ์ที่ประกาศไว้




ส.ปชส.มหาสารคาม / ข่าว

ประชาชนชาวจังหวัดบึงกาฬร่วมส่งผู้ว่าบึงกาฬเพื่อไปรับตำแหน่งผู้ว่าบุรีรัมย์

เช้าวันที่ 23 มิถุนายน 2556 นายเลอเกียรติ แก้วศรีจันทร์ และ นายเทวัญ สรรค์นิกร รองผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ พ่อค้า ประชาชนชาวจังหวัดบึงกาฬร่วมแสดงความยินดีและส่ง นายธงชัย ลืออดุลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬเพื่อไปรับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ณ  จวนผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความคิดถึงและสายฝนที่กระหน่ำทั้งวันแต่ทุกคนไม่ย่อท้อ มาร่วมแสดงความยินดีกับท่านผู้ว่ากันอย่างคับคั่ง       

จังหวัดบึงกาฬพร้อมดำเนินการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประจำจังหวัดบึงกาฬ (กรรมการ ป.ป.จ.)

เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๖ เวลา ๑๐.๐๐ ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดบึงกาฬ นายเลอเกียรติ แก้วศรีจันทร์ และ นายเทวัญ สรรค์นิกร ได้ร่วมเป็นประธานรับฟังคำชี้แจงผ่านระบบวีดิโอคอนเฟอเรนช์ พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ผู้แทนภาคเอกชน ต่างๆ เกี่ยวกับแนวทางการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประจำจังหวัด (กรรมการ ป.ป.จ.) จากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ คณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยมีนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมคณะกรรมการ ป.ป.ช. และ คณะผู้บริหารของกระทรวงมหาดไทย นำโดย ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมกันชี้แจง ผ่านระบบวีดิโอคอนเฟอเรนช์ จากกระมหาดไทยไปยัง ศาลากลางจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ

การสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประจำจังหวัดทุกจังหวัด (กรรมการ ป.ป.จ.) นั้น เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๒๔๖ วรรคท้ายบัญญัติว่า "ให้มีกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประจำจังหวัด โดยคุณสมบัติกระบวนการสรรหาและอำนาจหน้าที่ ให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริต” ซึ่งใน พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ กำหนดให้มีกรรมการ ป.ป.ช. ประจำจังหวัดทั่วประเทศภายในเวลา ๒ ปี นับตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ ดังนั้น สำนักงาน ป.ป.ช. จึงได้จัดตั้ง สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดขึ้นเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตใน จังหวัดนั้นๆ

องค์ประกอบของ คณะกรรมการ ป.ป.จ. นั้น จะมีจังหวัดละไม่น้อยกว่า ๓ คน แต่ไม่เกิน ๕ คน จังหวัดที่มีกรรมการ ป.ป.จ. ๕ คนมีเพียง ๑๒ จังหวัด คือ ขอนแก่น ชลบุรี เชียงใหม่ นครราชสีมา นครศรีธรรมราช บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด ศรีษะเกษ สงขลา สุรินทร์ อุดรธานี และ อุบลราชธานี ที่เหลือนอกนั้นเป็นจังหวัดที่มีกรรมการ ป.ป.จ. เพียง ๓ คน ซึ่งก็รวมจังหวัดบึงกาฬด้วย คุณสมบัติของ กรรมการ ป.ป.จ.  ตามพรบ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕) มาตรา ๑๐๓/๑๑ ที่สำคัญเช่น มีความซื่อสัตย์ มีสัญชาติไทย เป็นที่ยอมรับในความรู้ ความสามารถด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต อายุไม่ต่ำกว่า ๔๕ ปีบริบูรณ์ รับหรือเคยรับราชการไม่ต่ำกว่าผู้อำนวยการกองหรือเทียบเท่า หรือองค์การพัฒนาเอกชน หรือ องค์กรวิชาชีพไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี ไม่วิกลจริต เป็นต้น

กระบวนการสรรหากรรมการ ป.ป.จ. ของจังหวัดบึงกาฬจะเริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เป็นต้น ไปด้วยการสรรหากรรมการสรรหาผู้แทนกลุ่มต่างๆ ตามกฎหมายกำหนดจำนวน ๙ คน จากนั้นจะเปิดรับสมัครผู้สนใจเป็นกรรมการ ป.ป.จ. ระหว่างวันที่ ๒๔ มิถุนายน – ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ และจะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือก ป.ป.จ. ซึ่งเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.จ. และ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตั้งแต่วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ผู้สนใจต้องการทราบรายละเอียดสามารถดูได้ที่เว็บไซด์ของ สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. (www.nacc.go.th)




 
สาโรช บุญบุตร ข่าว

ว่าที่ร้อยตรีหญิงวีรนุช ภักดีวิเศษ นำเนอ

ชาวจังหวัดบึงกาฬร่วมต้อนรับผู้ว่าคนใหม่

เมื่อค่ำวันที่ 24 มิถุนายน 2556 นายเลอเกียรติ แก้วศรีจันทร์ และนายเทวัญ สรรค์นิกร รองผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ พ่อค้าประชาชน ชาวจังหวัดบึงกาฬ รอต้อนรับ นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬคนใหม่ ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ   ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความยินดีและผู้ว่าราชการจังหวัดคนใหม่กล่าวว่า รู้สึกประใจมากไม่คิดว่าคนจะมารอต้อนรับเยอะขนาดนี้      

พัฒนาฝีมือแรงงานบึงกาฬร่วมปูนซีเมนต์นครหลวงสร้างถังน้ำเพื่อชุมชนเพื่อโลกสีเขียวถวายในหลวง

( 25 มิถุนายน 2556) นายทวัธชัย รักขนาม ปลัดจังหวัดบึงกาฬเดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรม "ถังน้ำชุมชน เพื่อโลกสีเขียว” หลักสูตร เทคนิคการก่ออิฐฉาบปูน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมดำเนินการจัดทำโครงการถังน้ำชุมชน เพื่อโลกสีเขียว (Green Water Tank) โดยกำหนดให้มีการฝึกอบรมเทคนิคงานก่ออิฐฉาบปูน และสาธิตสร้างถังเก็บน้ำดินซีเมนต์ขนาดใหญ่ เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และกำหนดแผนสร้างถังน้ำชุมชน จำนวน 84 ถัง เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรง มีพระชนมายุครบ 84พรรษา ระหว่างวันที่ 25 มิถุนายน – 4 กรกฎาคม 2556 ณ วัดสระแก้วโพธิ์ทองพุทธาราม บ้านกำแพงเพชร หมู่ที่ 5 ตำบลโนนบูรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ


นายสง่า วงศ์ษาพาน ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดบึงกาฬกล่าวถึงการจัดงานในครั้งนี้ ว่า ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดบึงกาฬ ได้แสวงหาความร่วมมือกับ บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินการพัฒนาฝีมือแรงงานแก่ประชาชนในพื้นที่ และสร้างซ่อมแซมปรับปรุงสาธารณสมบัติ ปี 2556 ได้รับปูน 10 ตัน สร้างรั้วเสร็จเรียบร้อยแล้ว และครั้งนี้ กำหนดฝึกอบรม หลักสูตร เทคนิคงาน ก่ออิฐฉาบปูน จำนวน 60 ชั่วโมง แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายจำนวน 40 คน ระหว่างวันที่ 25 มิถุนายน – 4 กรกฎาคม 2556 ณ วัดสระแก้วโพธิ์ทองพุทธาราม บ้านกำแพงเพชร หมู่ที่ 5 ตำบลโนนบูรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ โดยการฝึกปฏิบัติจริง พร้อมก่อสร้างถังน้ำชุมชน เพื่อโลกสีเขียว โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึก รวม 40 คน มีความรู้ทักษะงานด้านก่ออิฐ ฉาบปูน การทำอิฐบล็อกประสาน เพื่อสร้างถังน้ำชุมชน เพื่อโลกสีเขียว น้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรง มีพระชนมายุครบ 84 พรรษา และได้รับเกียรติจากวิทยากร ของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จัด (มหาชน) และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดบึงกาฬ มฝึกอบรมให้ อีกทั้ง ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงาน องค์กรต่างๆ ดังนี้ บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) มูลนิธิชัยพัฒนา ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดบึงกาฬ บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) สาขาบึงกาฬ สนับสนุนงบประมาณในการจัดงาน ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้คาดว่า ผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่เป็นชาวบ้านและประชาชนทั่วไป สามารถนำความรู้ในเรื่องการก่ออิฐฉาบปูนไปใช้ในการประกอบอาชีพ สร้างประโยชน์ต่อตนเองและสังคม และสร้างถังน้ำชุมชน เพื่อโลกสีเขียว ได้สำเร็จเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้ใช้กักเก็บน้ำไว้ใช้เพื่อบรรเทาภัย แล้งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และ จะได้รับทราบความห่วงใยของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

ผู้ตรวจสำนักนายกลงพื้นที่บึงกาฬ

เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2556 นางสาวสมลักษณ์ ส่งสัมพันธ์ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบเขตตรวจราชการที่ 10 ได้เดินทางมาตรวจราชการ ณ อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ


โดยการเดินทางมาของผู้ตรวจราชการในครั้งนี้เพื่อมาตรวจติดตามนโยบายเร่งด่วน ของรัฐบาล ได้แก่ กองทุนพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชนตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและกอง ทุนพัฒนาบทบาทสตรีซึ่งได้มีการประชุมร่วม ณ ห้องประชุมอำเภอบึงโขงหลง ระหว่างผู้ตรวจราชการ นายเลอเกียรติ แก้วศรีจันทร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ นายอำเภอทุกอำเภอ และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปว่ากองทุนพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชนในพื้นที่ จังหวัดบึงกาฬทุกหมู่บ้านได้มีการสนับสนุนขอรับงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการ ต่างๆตามระเบียบโดยหมู่บ้านส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณเรียบร้อยแล้ว และผู้ตรวจราชการได้ฝากให้นายอำเภอติดตามการดำเนินงานว่าเป็นไปตามความต้อง การของหมู่บ้านชุมชนจริงหรือไม่และมีความยั่งยืนเพียงใด อีกกองทุนหนึ่งคือกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีผู้ตรวจราชการได้ฝากว่าเพื่อให้กอง ทุนมีความเข้มแข็งและยั่งยืนการพิจารณาจัดสรรเงินทุนหมุนเวียนให้สมาชิกได้ กู้ยืมไปดำเนินการโครงการต่างๆนั้นขอให้กรรมการพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ เป้าหมาย ลักษณะการดำเนินงานรวมทั้งความเป็นไปได้ของแต่ละโครงการให้ชัดเจนรวมถึง ศักยภาพของกลุ่มและโอกาสในการแข่งขันทางตลาดของแต่ละกลุ่มด้วย หลังจากที่ประชุมเสร็จผู้ตรวจราชการได้ลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมการดำเนิน โครงการทั้งสองโครงการ ณ หมู่บ้านบึงเจริญ

ผู้ว่าบึงกาฬคนล่าสุดประชุมกรมการจังหวัดนัดแรก

(27 มิถุนายน 2556) ณ ห้องประชุมเดอะวันคอนเวนชั่นฮอลล์ โรงแรมเดอะวัน อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬคนล่าสุด เข้าประชุมกรมการจังหวัดนัดแรก ซึ่งการประชุมในครั้งนี้เป็นการประชุมคณะกรมการจังหวัดบึงกาฬครั้งที่ 6


โดยในวันนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬคนที่ 4 และเป็นคนล่าสุดได้เข้าประชุมกรมการจังหวัดเป็นครั้งแรกซึ่งท่านพึ่งเดินทาง มาปฏิบัติราชการที่จังหวัดบึงกาฬเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2556 การประชุมในครั้งนี้ผู้ว่าคนล่าสุดให้แนวทางในการปฏิบัติงานแก่หัวหน้าส่วน ต่างๆว่าการทำงานยึดตามนโยบายรัฐบาลเป็นหลัก ยึดถือผลประโยชน์ของประชาชน และการทำงานให้ม่งผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นนึกถึงผลประโยชน์ของประชาชนที่จะได้ รับ และมีปัญหาอะไรก็ให้แนะนำและเข้ามาคุยกัน เพื่อจะได้ร่วมกันทำงานให้เกิดประโยชน์ต่อจังหวัดบึงกาฬและบ้านเมืองของเรา

การค้าชายแดนไทย และ สปป.ลาว ด้านจังหวัดบึงกาฬ ซบเซา

นางวิชิตา เลิศพุทธิพงศ์พร คลังจังหวัดบึงกาฬ เปิดเผยในที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดบึงกาฬ ประจำเดือน มิถุนายน ๒๕๕๖ ว่า มูลค่าการค้าระหว่างประเทศไทย กับ สปป.ลาว ด้านจังหวัดบึงกาฬ ในเดือน พฤษภาคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านด่านศุลกากรบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ มีมูลค่าการค้าร่วมทั้งสิ้น ๑๙๓.๕๔ ล้านบาท ลดลงจากเดือนที่แล้ว (เมษายน ๒๕๕๖) จำนวน ๕๙.๖๗ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๒๓.๕๗ และไทยได้ดุลการค้า ๑๔๓.๓๘ ล้านบาท มีมูลค่าสินค้าส่งออก ทั้งสิ้น ๑๖๘.๔๖ ล้านบาท ลดลงจากเดือน (เมษายน ๒๕๕๖) ๔๙.๗๕ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๒๒.๘๐ มีมูลค่าสินค้านำเข้าทั้งสิ้น ๒๕.๐๘ ล้านบาท ลดลงจากเดือนที่แล้ว (เมษายน ๒๕๕๖) ๙.๙๒ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๒๘.๓๔ มูลค่าการค้าระหว่างประเทศไทยกับ สปป.ลาว ด้านจังหวัดบึงกาฬรอบ ๘ เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม ๒๕๕๕ – พฤษภาคม ๒๕๕๖) มีมูลค่าการค้ารวม ๒,๘๒๑.๓๑ ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีงบประมาณที่แล้ว (ตุลาคม ๒๕๕๔ – พฤษภาคม ๒๕๕๕) ลดลง ๙๑๐.๘๔ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๒๔.๔๑ มูลค่าการส่งออก ๒,๔๔๕.๒๐ ล้านบาท ลดลง ๙๗๐.๑๖ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๒๘.๔๑ มูลค่าการนำเข้า ๓๗๖.๑๑ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๕๙.๓๒ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๘.๗๓ มูลค่าดุลการค้า ๒,๐๖๙.๐๙ ล้านบาท ลดลง ๑,๐๒๘.๑๐ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๓๓.๑๘

ส่วนสาเหตุมูลค่าการค้าชายแดนลดลงเนื่องจาก ประชาชนได้หันไปใช้บริการขนถ่ายสินค้าที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ ๒จังหวัดมุกดาหาร และ สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ ๓จังหวัดนครพนม เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับ แพขนานยนต์ที่บริการขนถ่ายสินค้า ณ ด่านศุลกากรจังหวัดบึงกาฬมีไม่เพียงพอรองรับปริมาณการขนถ่ายสินค้าในแต่ละ วัน จากกรณีปัญหาการค้าชายแดนของจังหวัดบึงกาฬซบเซานี้ นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬจึงได้เชิญผู้เกี่ยวข้องมาหารือเพื่อแก้ไขปัญหา ให้หมดไปจะได้ทำให้การค้าชายแดนของจังหวัดบึงกาฬกลับมาคึกคักดังเดิมต่อไป



 
สาโรช บุญบุตร ข่าว

ว่าที่ร้อยตรีหญิงวีรนุช ภักดีวิเศษ นำเสนอ

พัฒนาชุมชนจังหวัดบึงกาฬมอบเกียรติบัตรสุดยอด OTOP บึงกาฬ

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2556 ณ ห้องประชุมเดอะวันคอนเวนชั่นฮอลล์ โรงแรมเดอะวัน อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬได้มอบเกียรติบัตรแก่ผู้ชนะการประกวดการคัดเลือก กิจกรรมพัฒนาชุมชนดีเด่น ปี 2556


สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดบึงกาฬได้ดำเนินกิจกรรมพัฒนาชุมชนดีเด่นประจำปี 2556 ซึ่งมีกิจกรรมที่ดำเนินการ 4 ประเภทคือ การประกวดแผนธุรกิจดีเด่น การคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์ OTOP เด่นจังหวัด ศูนย์ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย(OPC) ปี2555 ระดับ 5 ดาว ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวได้มีการประกวดและ คัดเลือกผู้ชนะเป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งผลการประกวดคัดเลือกผู้ที่ชนะแบ่ง ตามประเภทกิจกรรมคือ 1 การประกวดแผนธุรกิจดีเด่นประจำจังหวัด ประจำปี 2556 รางวัลชนะเลิศได้แก่ กลุ่มทอผ้าบ้านสะง้อ หมู่ 2 ตำบลหอคำ อำเภอเมืองบึงกาฬ รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งได้แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนสตรีบ้านห้วยไม้ซอด หมู่ 9 ตำบลปากคาด อำเภอปากคาด รองชนะเลิศอันดับสองได้แก่ กลุ่มทอผ้าพื้นเมืองบ้านโนนสวาท หมู่ 4 ตำบลวังชมพู อำเภอพรเจริญ 2.การคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์ OTOP เด่นจังหวัด(PSO)ประจำปี 2556 ประเภทอาหารได้แก่ ข้าวเม่ากระยาสารท กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านห้วยไม้ซอด หมู่ 9 ตำบลปาดคาด อำเภอปากคาด ประเภทเครื่องดื่ม เครื่องดื่มสมุนไพรแห้ม กลุ่มผลิตเครื่องดื่มสมุนไพรแห้ม หมู่ 3 ตำบลพรเจริญ อำเภอพรเจริญ ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย ผ้าขาวม้า กลุ่มทอผ้าบ้านสว่างพัฒนา หมู่ 13 ตำบลบึงโขงหลง อำเภอบึงโขงหลง ประเภทของใช้ของประดับตกแต่ง ไม้กวาดดอกแขม กลุ่มผลิตไม้กวาดดอกแขม หมู่ 5 ตำบลหนองเดิ่น อำเภอบุ่งคล้า 3. ศูนย์บริการเศรษฐกิจฐานราก รางวัลชนะเลิศ ศูนย์บริการเศรษฐกิจฐานรากอำเภอพรเจริญ 4. การคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย(OPC) ประจำปี 2555 ระดับ 5ดาว จำนวน 3 ผลิตภัณฑ์ คือ ผ้าห่มลายยกดอก กลุ่มทอผ้าพื้นเมืองบ้านโนนสวาท หมู่ 4 ตำบลวังชมพู อำเภอพรเจริญ ผ้าขาวม้า กลุ่มทอผ้าขาวม้าบ้านสว่างพัฒนา หมู่ 13 ตำบลบึงโขงหลง อำเภอบึงโขงหลง ผ้าขาวม้า กลุ่มทอผ้าพื้นเมืองบ้านสะง้อ หมู่ 2 ตำบลหอคำ อำเภอเมืองบึงกาฬ การมอบเกียรติบัตรในครั้งนี้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้เข้ารับรางวัลเพื่อ จะได้พัฒนาต่อยอดสินค้าให้เป็นที่ยอมรับและติตลาดต่อไป 

งานนโยบายของรัฐบาลที่จังหวัดบึงกาฬ เดินหน้าด้วยดี

นายสาโรช บุญบุตร ประชาสัมพันธ์จังหวัดบึงกาฬ เปิดเผยว่า ในการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่จังหวัดบึงกาฬเกี่ยวกับกองทุนต่างๆ นั้นจังหวัดบึงกาฬมีผลการดำเนินงานเป็นไปด้วยดี เช่น โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) จังหวัดบึงกาฬ
มีจำนวนหมู่บ้านทั้งหมดจำนวน ๖๑๕ หมู่บ้าน แยกเป็นขนาด S จำนวน ๑๙๐ หมู่บ้าน ขนาด M ๓๕๒ หมู่บ้าน ขนาด L จำนวน ๗๓ หมู่บ้าน รวมเป็นงบประมาณ ๒๓๔,๓๐๐,๐๐๐ บาท (สองร้อยสามสิบสี่ล้านสามแสนบาทถ้วน) ปัจจุบันได้รับการโอนเงินแล้วจำนวน ๕๙๖ หมู่บ้าน เป็นจำนวนเงิน ๒๒๖,๖๐๐,๐๐๐ บาท (สองร้อยยี่สิบหกล้านหกแสนบาทถ้วน) คิดเป็นร้อยละ ๙๖.๙๑ และเตรียมโอนเงินอีก ๑๐ หมู่บ้านคิดเป็น ร้อยละ ๑.๖๓ คงเหลือ ๙ หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ ๑.๔๖

สำหรับโครงการเงินทุนหมุนเวียน ของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจังหวัดบึงกาฬ มี โครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการพัฒนากองทุนบทบาทสตรีจังหวัดบึงกาฬ (คกส.จังหวัดบึงกาฬ) จาก ๘ อำเภอ จำนวน ๗๙๓ โครงการ จำนวนเงินทั้งสิ้น ๕๐,๘๔๒,๓๓๐ บาท ซึ่งจังหวัดบึงกาฬมีเงินทุนหมุนเวียนที่ได้รับจัดสรรร้อยละ ๘๐ ของเงิน ๗๐ ล้านบาทเป็นเงิน ๕๖ ล้านบาท คงเหลือเงินทุนหมุนเวียน จำนวน ๕,๑๕๗,๖๗๐ บาท

ส่วนความคืบหน้าการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจังหวัดบึงกาฬ ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ มีจำนวนกองทุนทั้ง ๘ อำเภอในจังหวัดบึงกาฬทั้งสิ้น ๖๑๕ กองทุน ได้รับการอนุมัติไปแล้วทั้งสิ้น ๖๐๒ กองทุน คงเหลือกองทุนที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติเพียง ๑๓ กองทุนเท่านั้นซึ่งขณะนี้ผู้เกี่ยวข้องกับกองทุนที่เหลือกำลังดำเนินการตรวจ สอบแก้ไขให้เป็นไปตามระเบียบของกองทุนเพื่อให้ได้รับการอนุมัติให้เร็วที่ สุดต่อไป



 
สาโรช บุญบุตร ข่าว

ว่าที่ร้อยตรีหญิงวีรนุช ภักดีวิเศษ นำเสนอ

ศูนย์ ๓ วัย สานสายใยรักแห่งครอบครัวจังหวัดบึงกาฬ คืบหน้ามาก

(๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๖) เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดบึงกาฬ (ชั่วคราว)

นายเทวัญ สรรค์นิกร รองผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานศูนย์ ๓ วัย สานสายใยรักแห่งครอบครัวจังหวัดบึงกาฬ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรก ที่ประชุมรับทราบ การที่กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการโดยการประสานโครงการสานสายใยรักแห่งครอบ ครัว แจ้งให้ศูนย์พัฒนาสังคม หน่วยที่ ๗๖ จังหวัดบึงกาฬ ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ ๓ วัย สานสายใยรักแห่งครอบครัว ในพระอุปถัมภ์ของพระเจ้าวรวงค์เธอพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ในปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ซึ่งจังหวัดบึงกาฬ ได้ขอใช้สถานที่อาคารเดิมขององค์การบริหารส่วนตำบลบุ่งคล้า ซึ่งไม่ได้ใช้ประโยชน์ และ องค์การบริหารส่วนตำบลบุ่งคล้าอนุญาตให้ใช้อาคารสถานที่ดังกล่าว ในการจัดตั้งศูนย์ ๓ วัย สานสายใยรักแห่งครอบครัว ณ บ้านบุ่งคล้า หมู่ที่ ๑ ตำบลบุ่งคล้า อำเภอบุ่งคล้า จังหวัดบึงกาฬ เป็นสถานที่ดังกล่าว โดยขณะนี้การปรับปรุงอาคารได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกระทรวงพัฒนาสังคมฯ และจะแล้วเสร็จประมาณเดือน กรกฎาคม ๒๕๕๖ นี้ ขณะเดียวกันก็ได้มีการจัดส่งบุคลากรไปปฏิบัติงานแล้วจำนวน ๕ คน โดยมี นายปิฎก อ่อนแก้ว เป็นผู้จัดการ

ศูนย์ ๓ วัย สานสายใยรักแห่งครอบครัวจะมีทั่วประเทศจำนวน ๘๐ แห่ง หากศูนย์ของจังหวัดบึงกาฬ แล้วเสร็จก็จะได้กระทำพิธีเปิดต่อไป ทั้งนี้ตลอดปี ๒๕๕๕ ที่ผ่านมาศูนย์ ๓ วัยฯ จังหวัดบึงกาฬ ได้นำภารกิจ ๕ ด้านที่ทุกศูนย์ต้องดำเนินงาน เช่น ๑. การเตรียมพร้อมก่อนครองคู่ ๒. การเรียนรู้ร่วมกันในครรภ์ (ทารก พ่อ แม่) ๓. การคิดสร้างสรรค์แต่เยาว์วัย ๔. ครอบครัวเสริมกายใจและ ๕. ผู้สูงวัยสานสายใยรัก ไปดำเนินการและได้รับผลสำเร็จเป้นอย่างมาก สำหรับในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ หน่วยงานที่เป็นคณะทำงานศูนย์ ๓ วัยสานสายใยรักแห่งครอบครัวจังหวัดบึงกาฬ จะได้ร่วมกันจัดกิจกรรมตามภารกิจทั้ง ๕ ด้าน ให้มีความต่อเนื่องและมีคุณภาพมากที่สุด เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งซึ่งประกอบด้วย ๑. เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเน้นความต่อเนื่องเชื่อมโยง เป็นวงจรชีวิตทุกช่วงวัยตั้งแต่วัยเด็ก วัยพ่อแม่ และวัยปู่ยา ตายาย  ๒. เป็นการบูรณาการของทุกภาคส่วนในการให้บริการประชาชนแบบองค์รวม และ ๓. เป็นการสร้างรูปแบบตัวอย่างที่ดี ในการพัฒนาพื้นที่ ที่มีการดำเนินงานตามโครงการก่อนที่จะขยายผลไปยังพื้นที่ต่างๆ




สาโรช บุญบุตร ข่าว

ว่าที่ร้อยตรีหญิงวีรนุช ภักดีวิเศษ นำเสนอ

บึงกาฬสร้างเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อการมีส่วนร่วมเรื่องพลังงาน

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2556 ณ ห้องประชุมศิริอัมพรโฮเทล แอนด์ รีสร์อท อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมสัมมนา "สร้างเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อการมีส่วนร่วมเรื่องพลังงาน”


สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานประจำเขต 4 (ขอนแก่น) ร่วมกับพลังงานจังหวัดบึงกาฬและคณะกรรมการผู้ใช้พลังงาน(คภข.)ภายในพื้นที่ เขต 4 (ขอนแก่น) จัดอบรมสัมมนา "สร้างเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อการมีส่วนร่วมเรื่องพลังงาน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสารองค์กรและเปิดประตูความรู้ด้านพลังงานสู่ ชุมชน ให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และขั้นตอนการร้องเรียนผู้ใช้พลังงาน สร้างความรู้ความตระหนักให้กับผู้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งความรู้ด้านพลังงานอื่นๆที่เป็นประโยชน์ และเพื่อประสานเครือข่ายความร่วมมือกับกลุ่มเครือข่ายต่างๆในพื้นที่ โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมสัมมนาประกอบด้วยผู้นำท้องถิ่นและประชาชนทั่วไปในเขต พื้นที่อำเภอเมืองบึงกาฬจำนวน 150 คน

ผู้ว่าบึงกาฬคนใหม่ทำพิธีบวงสรวงพญานาคเพื่อความเป็นศิริมงคล

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2556 นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬได้เดินทางไปยังวัดอาฮงศิลาวาส ตำบลไคสี อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ เพื่อประกอบพิธีบรวงสรวงพญานาคเพื่อความเป็นศิริมงคลทีในการเดินทางมารับ ตำแหน่งพ่อเมืองบึงกาฬคนใหม่ซึ่งสถานที่แห่งนี้เชื่อกันว่าเป็นสะดือแม่น้ำ โขงซึ่งเป็นจุดที่ลึกที่สุดของลำน้ำโขงและชาวจังหวัดบึงกาฬเองมีความศรัทธา ในองค์พญานาคและสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬทุกท่านจะต้องมาประกอบพิธีบวงสรวงพญานาคเพื่อ ความเป็นศิริมงคล และความเจริญรุ่งเรืองของจังหวัดบึงกาฬต่อไป

ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬคนใหม่เดินทางมอบนโยบายข้าราชการผู้นำท้องถิ่นเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน

( 1 กรกฎาคม 2556 ) นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬคนล่าสุดเดินทางมอบนโยบายข้าราชการ ผู้นำท้องถิ่น ในเขตอำเภอเมืองบึงกาฬและอำเภอบุ่งคล้าโดยมีหัวหน้าส่วนราชการและผู้นำท้อง ถิ่นในเขตอำเภอดังกล่าวเข้าร่วมรับมอบนโยบายในการขับเคลื่อนจังหวัดบึงกาฬ อย่างพร้อมเพียงกัน

ซึ่งในช่วงเช้าผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬคนใหม่ได้เดินทางไป มอบนโยบายแก่หัวหน้าส่วนราชการและผู้นำท้องถิ่นในเขตอำเภอเมืองบึงกาฬ ณ โรงเรียนอนุบาลบึงกาฬวิศิษฐ์อำนวยศิลป์ ตำบลวิศิษฐ์ อำเภอเมืองบึงกาฬจังหวัดบึงกาฬโดยมีนายชัยวัฒน์ สารสมบัติ นายอำเภอเมืองบึงกาฬได้นำหัวหน้าส่วนราชการและผู้นำท้องถิ่นในเขตอำเภอเมือง บึงกาฬเข้าร่วมรับมอบนโยบายและนายนิพนธ์ คนขยัน นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเข้าร่วมรับฟังนโยบายจากผู้ว่าราชการจังหวัดใน ครั้งนี้ด้วย หลังจากนั้นในช่วงบ่ายวันเดียวกันผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬได้เดินทางต่อไป ยัง หอประชุมที่ว่าการอำเภอบุ่งคล้า โดยมีนาย นายจีระพันธ์ บุณยะมัต นายอำเภอบุ่งคล้านำทีมหัวหน้าส่วนราชการและผู้นำท้องถิ่นในอำเภอบุ่งคล้า ร่วมรับมอบนโยบายจากผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ


นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬได้มอบแนวนโยบายในการทำงานในครั้งนี้ว่าการทำงาน จะทำตามนโยบายของรัฐบาลและจะมุ่งผลสู่ประชาชนเป็นหลักโดยเน้นว่าในการลง พื้นที่ของผู้ว่าไม่ต้องมีพิธีรีตองเพราะต้องการเห็นความเป็นจริงที่เกิด ขึ้นในชุมชนและการลงพื้นที่ในบางครั้งอาจจะไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าซึ่ง ขอให้หัวหน้าส่วนราชการและผู้นำท้องถิ่นมีประเด็นปัญหาอะไรในพื้นที่ก็ขอให้ เสนอเข้ามาเพื่อที่จะได้ช่วยกันดูและแก้ไขซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ กล่าวทิ้งท้ายว่ารู้สึกดีใจที่เห็นทุกท่านมาต้อนรับตั้งแต่วันแรกที่เดินทาง มาจนถึงวันนี้และเห็นความมีน้ำใจของคนบึงกาฬรู้สึกว่าได้กลับมาถิ่นเก่าอีก ครั้งเพราะเคยมาทำงานในพื้นที่ภาคอีสานหลายจังหวัดและมาในครั้งนี้จะม่งมั่น ทำงานเพื่อพัฒนาเพื่อพัฒนาจังหวัดบึงกาฬให้มีความเจริญและประชาชนมีความเป็น อยู่ที่ดี และขอความร่วมมือทุกคนร่วมกันพัฒนาและสร้างจังหวัดบึงกาฬให้ยิ่งใหญ่ต่อไป

บึงกาฬอบรมภาษาเวียดนามหัวหน้าส่วนราชการเพื่อรองรับประชาคมอาเซียน

( 1 กรกฎาคม 2556 ) นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬเป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรม "ภาษาเวียดนามเพื่อการสื่อสาร” แก่หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ พนักงานของรัฐ ของหน่วยงานราชการในจังหวัดบึงกาฬ จัดโดยศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดบึงกาฬนำโดยนายสง่า วงศ์ษาพาน ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดบึงกาฬ ณ ห้องประชุมสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดบึงกาฬ อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ


การฝึกอบรมภาษาเวียดนาม ซึ่งเป็นหนึ่งในภาษาของกลุ่มประเทศประชาคมอาเซียน ถือเป็นภารกิจที่สำคัญของจังหวัดบึงกาฬ ต้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาล ที่กำหนดให้จังหวัดบึงกาฬ เตรียมความพร้อม และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันแก่ข้าราชการ บุคลากรของรัฐ ประชาชน ให้สามารถ รองรับการแข่งขันกับประชาคมอาเซียนได้ โดยเฉพาะหัวหน้าส่วนราชการ คณะทำงานเฉพาะกิจด้านประชาคมอาเซียน ที่ต้องเป็นตัวแทนของจังหวัดในการเจรจา ส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศเวียดนาม และกลุ่มประเทศอาเซียนในอนาคตได้สมศักดิ์ศรี การพัฒนาทักษะการสื่อสารด้านภาษาเวียดนาม เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อการนำไปใช้สำหรับการติดต่อ สื่อสารกับชาวต่างประเทศ เพราะภาษาเวียดนามเป็นภาษาที่สามารถใช้สื่อสารประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยเฉพาะส่วนราชการ ผู้นำองค์กร กำลังแรงงานหรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ที่ต้องติดต่อประสานงานกับชาวเวียดนาม ที่ยังต้องใช้ภาษาเวียดนามในการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปี 2558 จะเป็นปีที่มีการรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ชุมชนเดียวของประชาคมอาเซียน รัฐบาล ได้กำหนดนโยบายให้ทุกภาคส่วน ดำเนินการพัฒนาองค์กรในความรับผิดชอบ ส่งเสริมพัฒนาประชาชน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแรงงาน รองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ให้สามารถรองรับการแข่งขันกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 ได้ 

จังหวัดบึงกาฬสร้างพลเมืองอาสาพัฒนาประชาธิปไตย

วันนี้ (2 กรกฎาคม 2556) ณ ห้องคอนเวนชั่นฮอลล์ โรงแรมเดอะวัน อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ สำนักงาน กกต. จังหวัดบึงกาฬ นำโดยนายชัชวาล สุขหล้า ผอ. กต.จว.บึงกาฬ จัดโครงการพลเมืองอาสาพัฒนาประชาธิปไตย โดยได้รับเกียรติจาก ดร.จรูญรัตน์ ส่งศรี กกต.จว.บึงกาฬ มาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ


ซึ่งการจัดโครงการพลเมืองอาสาเพื่อพัฒนาประชาธิปไตยมีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาพลเมืองอาสาพัฒนาประชาธิปไตยให้มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ การเมือง การปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กระตุ้นให้ตื่นตัวตามระบอบประชาธิปไตยและมีทักษะการเป็นพลเมืองในวิถี ประชาธิปไตยทำหน้าที่เป็นแกนนำในการรณรงค์ประชาสัมพันธ์และช่วยเหลืองานของ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งโดยร่วมเป็นกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งตลอด จนช่วยเหลือการปฏิบัติงานของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและสร้างเครือ ข่ายพลเมืองอาสาพัฒนาประชาธิปไตยในพื้นที่ของตน โดยผู้เข้ารับการอบรมในครั้งนี้ประกอบด้วยผู้นำชุมชน ผู้นำกลุ่ม ประชาชน โดยการคัดเลือกจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดบึงกาฬรวม จำนวน 154 คน กิจกรรมในการอบรมประกอบด้วยการบรรยาย การเรียนรู้เป็นฐานกิจกรรมโดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ระเบียบ กฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินการเลือกตั้ง 

บุรีรัมย์จัดงานวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ

จังหวัดบุรีรัมย์วันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ "วันลูกเสือไทย” ประจำปี ๒๕๕๖ มีลูกเสือเนตรนารีเดินสวนสนามเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ แห่งองค์พระผู้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทย

ณ สนามกีฬามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ นายธงชัย ลืออดุลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นประธานในพิธีวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ "วันลูกเสือไทย” ด้วยพระบารมีและพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ได้ทรงก่อตั้งคณะลูกเสือไทยขึ้น เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๔๕๔ ดังนั้น ในวันนี้ของทุกปี จึงถือว่าเป็นวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ "วันลูกเสือไทย” สำนักงานลูกเสือจังหวัดบุรีรัมย์จึงได้จัดพิธี"วันลูกเสือไทย” เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ แห่งองค์พระผู้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทย เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดี แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์พระประมุขของคณะลูกเสือแห่งชาติ เพื่อเป็นการปลูกฝังอุดมการณ์ ให้ลูกเสือเห็นความสำคัญของกิจกรรมลูกเสือไทย โดยการเข้าพิธีทบทวนคำปฏิญาณและสวนสนาม

สำหรับการจัดกิจกรรมของลูกเสือในรอบปีที่ผ่านมา สำนักงานลูกเสือจังหวัดบุรีรัมย์ โดยสำนักงานลูกเสือเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์เขต ๑ ได้ดำเนินการจัดโครงการฝึกอบรม วิชาผู้กำกับลูกเสือสำรอง ชั้นความรู้เบื้องต้น (B.T.C.) จำนวน ๒ รุ่น จัดโครงการฝึกอบรมผู้บังคับบัญชาลูกเสือระดับผู้นำ ขั้นความรู้ชั้นสูง (A.T.C.) จำนวน ๒ รุ่น จัดกิจกรรมการประกวดระเบียบแถวลูกเสือ-เนตรนารี ระดับเขตพื้นที่การศึกษาโดย มีสถานศึกษาในสังกัด สพป.บร.๑-๔ ,สพม ๓๒,อาชีวศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์ส่งกองลูกเสือในสังกัดเข้าร่วมการประกวด จำนวน ๑๗ กอง และกองลูกเสือโรงเรียนทศพรวิทยา อำเภอสตึก สังกัด สพป.บร ๔ เป็นตัวแทนจังหวัดเข้าร่วมประกวดระดับประเทศในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ ลานพระราชวังดุสิต (ลานพระบรมรูปทรงม้า) กรุงเทพมหานคร

โดยการชุมนุมในวันนี้ มีผู้เข้าร่วมพิธีประกอบด้วย ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ จำนวน ๔๐๐ คน ลูกเสือ-เนตรนารี จำนวน ๒,๐๐๐ คน ลูกเสือชาวบ้าน จำนวน ๓๐ คน รวมทั้งสิ้น ๒,๔๓๐ คน





สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดบุรีรัมย์

จังหวัดบุรีรัมย์ อบรมผู้ปฏิบัติงาน OSCC หรือศูนย์ช่วยเหลือสังคม

จังหวัดบุรีรัมย์ อบรมขยายผลแก่ผู้ปฏิบัติงาน OSCC หรือศูนย์ช่วยเหลือสังคม โดยบูรณาการภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยเหลือเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่ประสบปัญหา เพื่อให้ได้รับความเสมอภาคและเท่าเทียมในสังคม
 
ณ ห้องประชุมนารายณ์บรรทมศิลป์ ชั้น ๔ ศูนย์ราชการจังหวัดบุรีรัมย์ นายปรัชญา จินต์จันทรวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นประธานเปิดการอบรมขยายผลแก่ผู้ปฏิบัติงาน OSCC (One Stop crisis Center) หรือศูนย์ช่วยเหลือสังคม โดยสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดบุรีรัมย์ จัดขึ้นเพื่อบูรณาการการช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายได้แก่ เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่ประสบปัญหา ๔ เรื่อง ได้แก่ การตั้งครรภ์ไม่พร้อม (คุณแม่วัยใส) การค้ามนุษย์ แรงงานเด็ก และการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ และคนพิการ เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ทันเหตุการณ์ และครบวงจร จนสามารถกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวและสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข โดยหน่วยงานที่มีบทบาทและภารกิจหลักในการช่วยเหลือในแต่ละประเด็นปัญหา ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข รับผิดชอบการตั้งครรภ์ไม่พร้อม (คุณแม่วันใส) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบการค้ามนุษย์ กระทรวงแรงงาน รับผิดชอบการใช้แรงงานเด็ก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รับผิดชอบการกระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ และคนพิการ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยรับแจ้งเหตุ/แจ้งเบาะแส รวมถึงมูลนิธิ องค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดจัดอบรมผู้ปฏิบัติงานของหน่วยงานดังกล่าว จำนวน ๔ รุ่น รวม ๕๕๒ คน ในระหว่างวันที่ ๑-๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖




สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดบุรีรัมย์

คณะกรรมการ TO BE NUMBER ONE ระดับประเทศ ลงพื้นที่ตรวจประเมินผลการดำเนินงาน ชมรมฯ ที่จังหวัดนครราชสีมา

ที่โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย นายแพทย์หม่อมหลวงสมชาย จักรพันธุ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต ในฐานะประธานตรวจติดตามผลการดำเนินงาน TO BE NUMBER ONE ระดับประเทศ พร้อมด้วยคณะกรรมการ ลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานชมรม TO BE NUMBER ONE เพื่อดูการปฏิบัติงานจริง และเก็บคะแนนในพื้นที่ โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ อาจารย์ นักเรียนโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย และคณะทำงานพร้อมสมาชิก TO BE NUMBER ONE ร่วมให้การต้อนรับ พร้อมทั้งนำเสนอผลการดำเนินงานของชมรม ซึ่งคณะกรรมการตรวจประเมินฯได้เยี่ยมชมนิทรรศการ และกิจกรรมการต่อต้านยาเสพติดของ หน่วยงานภาคีเครือข่าย ซึ่งโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัยได้เป็นตัวแทนของจังหวัดนครราชสีมา ในการเข้าร่วมแข่งขันชมรม TO BE NUMBER ONE ในประเภทสถานศึกษา ดีเด่นมาตรฐานต้นแบบระดับเพชร ในระดับประเทศ ปีที่ 1 ประจำปี 2556 โดยครั้งนี้เป็นการลงตรวจประเมิน ในพื้นที่ เพื่อเก็บคะแนนจำนวน 50 คะแนน ในสถานที่ปฏิบัติงานจริง

และในช่วงบ่ายคณะกรรมการฯ ได้เดินทางไป ที่บริษัท แป้งมันเอี่ยมเฮงอุตสาหกรรม จำกัด อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อตรวจประเมินผลการดำเนินงานชมรม TO BE NUMBER ONE ในสถานประกอบการ ขนาดใหญ่ ประเภทกลุ่มมาตรฐานพร้อมเป็นต้นแบบ ระดับเพชร เข้าสู่การประกวดระดับประเทศ ประจำปี 2556 ของชมรม TO BE NUMBER ONE เอี่ยมเฮง ซึ่งจัดตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2548 โดยน้อมนำเอาแนวทางในการบริหารจัดการ ยุทธศาสตร์ 3 ก 3 ย ของโครงการ TO BE NUMBER ONE ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นแนวทางในการดำเนินงานและขับเคลื่อนกิจกรรม ทั้งนี้ จะนำผลคะแนนที่ได้ในครั้งนี้ ไปรวมกับการเสนอผลงานระดับประเทศ ในงานมหกรรมรวมพลสมาชิก TO BE NUMBER ONE ประจำปี 2556 ในระหว่างวันที่ 14 - 15 กรกฏาคม 2556 ณ อิมแพคเมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ต่อไป

ทั้งนี้โครงการรณรงค์ป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติด TO BE NUMBER ONE ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เน้นการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือ เยาวชน และกลุ่มเป้าหมายรองคือ ประชาชนทั่วไป โดยจังหวัดนครราชสีมา ได้น้อมนำเอาโครงการ To Be Number One ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี มาดำเนินการตั้งแต่ ปี 2546 ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการดำเนินงานตามโครงการและยึดหลักยุทธศาสตร์ มี 3 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ ที่ 1 การรณรงค์ปลูกจิตสำนึกและสร้างกระแสนิยมที่เอื้อต่อการป้องกันแก้ไขปัญหายา เสพติด ยุทธศาสตร์ ที่ 2 การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันทางจิตใจแก่เยาวชน ยุทธศาสตร์ ที่ 3 การสร้างและพัฒนาเครือข่ายป้องกันแก้ไขยาเสพติด เพื่อให้เป้าหมายเด็กและเยาวชนจังหวัดนครราชสีมา เป็นคนเก่ง มีความรับผิดต่อตนเองและสังคม สำหรับการการประกวดระดับ จังหวัด To Be Number One ระดับประเทศในครั้งนี้ มีบริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์(มหาชน) นครราชสีมา บริษัทแป้งมันเอี่ยมเฮง อุตสาหกรรม จำกัด โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ชุมชนบ้านหนองตะไก้ อ.หนองบุญมาก และชุมชนบ้านเปลาะปอ อ.โนนสูง เป็นตัวแทนของจังหวัดนครราชสีมา เข้าร่วมการประกวด To Be Number One ระดับประเทศ ในครั้งนี้ 

ผลการแข่งขันกิจกรรม “Young DPR Award เยาวชน ปชต.สัมพันธ์ ปีที่ 3 ” นักเรียนนครราชสีมา คว้ารางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1

ผลการแข่งขันกิจกรรม "Young DPR Award เยาวชนเยาวชนประชาธิปไตยสัมพันธ์ ปีที่ 3 ” ในระดับภูมิภาค 11 จังหวัดอีสานตอนบน นักเรียนนครราชสีมา คว้ารางวัลรองชนะเลิศ นางชนัดดา แฮร์รีส ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครราชสีมา รายงานว่า

ตามที่ กรมประชาสัมพันธ์ ได้จัดทำ โครงการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยให้มีการแข่งขันในทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยให้สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครราชสีมา ดำเนินการจัดแข่งขันในระดับจังหวัด นำผู้ชนะเลิศของจังหวัดไปแข่งขันในระดับเขต ณ สำนักงานประชาสัมพันธ์ เขต ซึ่งทั่วประเทศมี 8 สำนักเขต เพื่อนำทีมจังหวัดที่ชนะเลิศไปแข่งขันในระดับประเทศที่กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งปีนี้ จัดเป็นปีที่ 3 แล้วนั้น

สำหรับการแข่งขันในระดับ จังหวัดของจังหวัดนครราชสีมา ทีมชนะเลิศ คือ ทีม ร.ร.อุบลรัตนราชกัญญาราชวิทยาลัย นครราชสีมา เป็นตัวแทนไปแข่งกับอีก 11 จังหวัดที่สำนักประชาสัมพันธ์เขต 1 ขอนแก่น เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2556 โดยใช้สถานที่แข่งขันที่โรงเรียนขามแก่นนคร อ.เมือง จ.ขอนแก่น
 
ผลการแข่งขัน "Young DPR Award เยาวชนประชาธิปไตยสัมพันธ์ ปีที่ 3 ” ดังนี้
 
รางวัลชนะเลิศ ร.ร.กัลยาณวัตร จ.ขอนแก่น เงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ประกอบด้วยนักเรียน 3 คน คือ 1. น.ส.วาสิฏฐี ข้อยุ่น 2. น.ส.มัสลิน สีระวัลย์ 3. นายสิทธิชัย คำมี ควบคุมทีมโดย อาจารย์วิเชียร เสาวกุล 
 
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ร.ร.อุบลรัตนราชกัญญาราชวิทยาลัย นครราชสีมา จ.นครราชสีมา เงินรางวัล 7,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร
 
รองชนะเลิศอันดับ 2 ร.ร.อุดรธานีพิทยาคม จ.อุดรธานี เงินรางวัล 5,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร
 
รางวัลชมเชย 8 รางวัล ร.ร. จุฬาภรณราชวิทยาลัย เลย จ.เลย, ร.ร.สตรีชัยภูมิ จ.ชัยภูมิ , ร.ร.ปทุมเทพวิทยาคาร จ.หนองคาย, ร.ร. ผดุงนารี จ.มหาสารคาม , ร.ร.ศรีวิไลวิทยา จ. บึงกาฬ, ร.ร.นาวังศึกษาวิช จ.หนองบัวลำภู ,ร.ร.หนองห้างพิทยา จ.กาฬสินธุ์, ร.ร. เตรียมอุดมศึกษา จ.สกลนคร โดย ร.ร. ทั้ง 8 แห่ง ที่ได้รับรางวัลชมเชย ได้รับเงินรางวัล 2,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร
 
อนึ่งการแข่งขันครั้งนี้ ร.ร.กัลยาณวัตร ทีมชนะเลิศ จะเป็นตัวแทนไปแข่งขัน ระดับประเทศ ใน "โครงการเยาวชนประชาธิปไตย ก้าวไปสู่อาเซียน” ระหว่างวันที่ 8 – 12 ก.ค. 56 ณ กรุงเทพมหานคร 

เกษตรจังหวัดนครราชสีมาเตือนเกษตรกรให้ระวังหนอนกระทู้กล้ากัดทำลายต้นข้าวช่วงระยะกล้า

นายเฉลิมศักดิ์ ประสิทธิ์สุวรรณ เกษตรจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า ช่วงนี้เกษตรกรได้ทำการหว่านข้าวในหลายพื้นที่แล้ว ประกอบกับมีฝนตกลงมากระจายทั่วไป ทำให้ต้นกล้าข้าวได้รับน้ำและเจริญเติบโตดี แนะนำให้เกษตรกรหมั่นออกตรวจแปลงข้าวอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากในสภาพอากาศเช่นนี้จะเหมาะกับการระบาดและขยายพันธุ์ของหนอนกระทู้ กล้ามาก ตามปกติหนอนจะกัดกินข้าวในเวลากลางคืน สามารถเข้าทำลายกล้าข้าวอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ความเสียหายที่เกิดขึ้นมักจะเกิดในท้องที่เดิมซ้ำๆ หากหนอนกระทู้กล้ากัดกินต้นกล้าข้าวในนาระดับพื้นดิน จะทำให้กล้าข้าวส่วนใหญ่เหลือแต่ตอ มีลักษณะเหมือนควายกิน ความเสียหายทั้งหมดอาจเกิดขึ้นภายใน ๑-๒ วันเท่านั้น

เกษตรจังหวัดนครราชสีมา กล่าวต่อว่า การป้องกันกำจัด เกษตรกรควรถางหญ้าบริเวณคันนาของแปลงข้าวให้สะอาดอยู่เสมอ เพราะหนอนกระทู้กล้าชอบอาศัยกินหญ้าบริเวณคันนาเป็นอาหารก่อนที่จะแพร่ระบาด ลุกลามเข้าไปในแปลงข้าว ใช้สวิงโฉบทำลายผีเสื้อซึ่งเป็นตัวแก่เพื่อลดปริมาณ ใช้สารสะเดาฉีดพ่นอย่างต่อเนื่องจะยับยั้งการลอกคราบของหนอน หรือใช้เชื้อราบิวเวอเรีย หรือเชื้อบีที ฉีดพ่นให้ถูกตัวหนอน ใช้เวลา ๒-๓ วัน หนอนจะตาย หากมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมี ให้ใช้สารเคมี คาร์โบซัลแฟน (พอสซ์ ๒๐% EC) หรือคลอร์ไพริฟอสหรือมาลาไทออน ๘๓%EC อัตราตามฉลากแนะนำ หากพบปัญหาด้านการเกษตรติดต่อสอบถามเกษตรหมู่บ้าน หรือเกษตรอำเภอใกล้บ้าน 

ชาวนาเฮสรุปจำนำข้าวปี 56 กลับมารับจำนำตันละ 15,000 บาท เหมือนเดิม

เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้กลับไปใช้ราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปรังประจำปี 2556 ที่ตันละ 15,000 บาท เหมือนเดิม โดยจะรับจำนำเฉพาะปริมาณที่ไม่เกินที่ได้ระบุไว้ในใบรับรองเกษตรกรที่ขึ้น ทะเบียนแล้วเท่านั้นและเป็นวงเงินไม่เกินครัวเรือนละ 500,000 บาท กำหนดเวลารับจำนำไปจนถึงวันที่ 15 ก.ย. 56 ส่วนภาคใต้กำหนดถึงวันที่ 30 พ.ย.56 ทั้งนี้ที่ประชุมได้พิจารณาข้อมูลทั้งหมดแล้วทุกอย่างยังเป็นไปตามมติ กขช.เดิม โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รายงานว่าผลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรถึง 30 มิ.ย.56 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการขึ้นทะเบียนพบว่า มีจำนวนเกษตรกรกว่า 2 แสนราย มีปริมาณข้าว 2.9 ล้านตัน จึงไม่ทำให้เกิดภาระทางการคลังเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ส่วนการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 56/57 ที่เริ่มในปลายปีนั้นคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติจะพิจารณาในรายละเอียดอีก ครั้งเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดโลกต่อไป ส่วนชาวนาที่ได้นำข้าวมาเข้าร่วมโครงการรับจำนำโดยได้รับราคาจำนำที่ตันละ 12,000 บาท ตามมติกขช.เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.นั้นเชื่อว่ามีจำนวนไม่มาก ซึ่งรัฐบาลจะเข้าไปชดเชยดูแลให้ได้รับราคาเหมือนเดิมที่ตันละ 15,000 บาท โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมโอนเงินส่วนต่างคืนให้ทางบัญชีกับชาวนาราย นั้นต่อไป โดยทั้งหมดจะเสนอให้ที่ประชุมครม.พิจารณาเห็นชอบในวันที่ 2 ก.ค.นี้ นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบให้คณะอนุกรรมการระดับจังหวัดปรับปรุงหลัก เกณฑ์กระบวนการรับจำนำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งการให้ตำรวจ,ทหารและตำรวจ ตระเวนชายแดน ตรวจสอบบริเวณชายแดนอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการนำข้าวเพื่อนบ้านมาสวม สิทธิ์ รวมทั้งมอบให้กระทรวงพาณิชย์ องค์การคลังสินค้าหรือ อคส. องค์การตลาดกลางเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.)ให้กำกับดูแล จุดรับจำนำและคลังสินค้าติดกล้องซีซีทีวี เพื่อให้สังคมเข้ามาช่วยตรวจสอบ เชื่อมโยงระบบการขึ้นทะเบียนเกษตรกร การออกใบประทวน การจ่ายเงินให้เกษตรกรและการส่งข้าวจากโรงสีเข้าคลังกลาง เพื่อให้สามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับได้ระหว่างหน่วยงานและรายงานให้ที่ ประชุมครั้งต่อไป

ขอนแก่นสร้างหมู่บ้านนำร่องลดรายจ่ายครัวเรือนอำเภอละ 2 หมู่บ้าน

นายสมศักดิ์  สุวรรณสุจริต ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นเป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง โครงการลดรายจ่ายครัวเรือนเกษตรกรตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามทิศทางการ พัฒนาจังหวัดขอนแก่นระยะเร่งด่วนโดยมีเป้าหมายเพื่อให้คนขอนแก่นอยู่เย็น เป็นสุขร่วมกัน โดยเน้นการพัฒนามิติที่ 1 ภาคชนบท เน้นการพัฒนาในอำเภอ ตำบล และหมู่บ้านนอกเมือง ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญตามนโยบายการทำงานของผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นที่ สนองนโยบายของรัฐบาลที่จะลดรายจ่ายครัวเรือนเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาความยากจน โดยนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตของประชาชนชาวขอนแก่นอย่างยั่งยืนซึ่งจังหวัด ขอนแก่นทำนำร่องใน26 อำเภอๆละ 2 หมู่บ้านและทุกหมู่บ้านมาลงนามรับรองว่าจะทำจริงต่อหน้าผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอและหัวหน้าส่วนราชการโดยแต่ละอำเภอจะมีตัวแทนจากเกษตรจังหวัดเข้าไป ให้คำแนะนำรวมทั้งการทำบัญชีครัวเรือนด้วยโครงการนี้จังหวัดขอนแก่นมุ่งเน้น ให้ประชาชนชาวขอนแก่นอยู่เย็นเป็นสุขอย่างยั่งยืน โดยทำพิธีลงนามความร่วมมือที่ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น       

รองผู้ว่าฯ กาฬสินธุ์ กำชับทุกหน่วยพร้อมรับปัญหาค้ามนุษย์เมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 ที่ห้องประชุม 4/2 ศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้มีการประชุมคณะอนุกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยมีนายประเสริฐ ลือชา ธนานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นประธานการประชุม ระเบียบวาระที่สำคัญได้แก่ การดำเนินงานโครงการเสริมสร้างความรู้ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 ประจำปี 2556 การจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี 2556 และการรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ ซึ่งจากรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของจังหวัดกาฬสินธุ์ ไม่พบการกระทำผิดหรือเข้าหลักเกณฑ์ว่าด้วยการค้ามนุษย์ในช่วงที่ผ่านมา พบเพียงปัญหาการแอบซื้อ แอบขาย ประเวณีในกลุ่มวัยรุ่นและปัญหาการมั่วสุมเท่านั้น สวนการแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีพบว่าเป็นการขายบริการทางเพศตามสถาน บริการต่าง ๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านคาราโอเกะ และแฝงมากับการท่องเที่ยว

นายประเสริฐ ลือชาธนานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยปัจจุบันสถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็กและสตรี และความรุนแรงในครอบครัว มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี จากสถิติข้อมูลศูนย์พึ่งได้ในโรงพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดกาฬสินธุ์ รวม 14 แห่ง พบว่าในปี 2554-2555 เด็กและสตรีที่ได้รับความรุนแรงมารับบริการเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย อายุระหว่าง 10-15 ปี ซึ่งถูกกระทำความรุนแรงทางเพศและถูกทำร้ายร่างกาย โดยผู้กระทำส่วนใหญ่เป็นแฟนและคนใกล้ชิด ขณะที่กลุ่มสตรีที่มีอายุระหว่าง 25-45 ปี ถูกระทำความรุนแรงจากคู่สมรสมากที่สุด ส่วนรายงานคดีอาญาของสำนักงานอัยการคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดกาฬสินธุ์ ในปี 2553-2555 พบว่ามีเด็กและสตรีถูกกระทำรุนแรงจำนวน 143 คดี ส่วนใหญ่เป็นคดีข่มขืนกระทำชำเรา พรากผู้เยาว์ และกระทำอนาจาร

รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในอนาคตเมื่อประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะเกิดการเคลื่อนย้ายทั้งในภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และแรงงานในกลุ่มประเทศอาเซียน จังหวัดกาฬสินธุ์ อาจมีแรงงานเคลื่อนย้ายเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน จำนวนมากเช่นกัน ซึ่งจะต้องมีปัญหาตามมาอีก ทั้งปัญหายาเสพติด ปัญหาสังคม ปัญหาแรงงาน ปัญหาการค้าประเวณี ตลอดจนปัญหาที่เข้าข่ายการค้ามนุษย์ หลากหลายรูปแบบซึ่งจังหวัดกาฬสินธุ์จึงต้องเตรียมพร้อมรองรับปัญหาที่อาจจะ เกิดขึ้น



สุรพล คุณภักดี/ข่าว