วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ผู้ว่าฯมหาสารคามเชิญชวนรับฟังรายการนายกยิ่งลักษณ์คุยประเด็นการรับจำนำข้าวเปลือก

นายนพวัชร สิงห์ศักดา ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม ขอเชิญชวนประชาชนติดตามรับฟังและรับชมรายการ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์ คุยกับประชาชน" หัวข้อ "การรับจำนำข้าวเปลือก" ในวันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน 2556 เวลา 08.00-09.00 น. ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (สทท.11) กรมประชาสัมพันธ์

อีกทั้งได้ขอความร่วมมือสถานีวิทยุชุมชน เคเบิลทีวี ในพื้นที่ รับสัญญาณรายการในหัวข้อดังกล่าว เพื่อเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง




ส.ปชส.มหาสารคาม/ข่าว

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดมุกดาหารจัดประชุมเจรจาลดปัญหาอุปสรรคทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านและเจรจาจับคู่ธุรกิจ

นายสรสิทธิ์ ฤทธิ์สรไกร รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร และนายทวีศักดิ์ สุทโธ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดมุกดาหาร นำคณะผู้แทนภาคราชการ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการจาก 18 จังหวัดภาคอีสานของไทย จำนวน 110 คน เดินทางเข้าร่วมประชุมเจรจาลดปัญหาอุปสรรคทางการค้ากับประเทศ สปป.ลาว และเจรจาจับคู่ธุรกิจ กับคณะผู้แทนภาคราชการ ภาคเอกชนและผู้ประกอบการแขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว ที่โรงแรมดาวสะหวัน รีสอร์ท แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว เมื่อวันที่ ๑๘-๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖      

จังหวัดมุกดาหารเป็นจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับแขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว มีแม่น้ำโขงเป็นเส้นพรมแดน ระยะทาง 72 กิโลเมตร และเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่บนระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) ตามเส้นทางหมายเลข 9 เบรียบเป็นประตูทางตะวันออกของไทยสู่อาเซียนและประเทศจีนตอนใต้ ประกอบกับจังหวัดมุกดาหารกับแขวงสะหวันนะเขต เป็นเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยั่งยืนจนได้ยกระดับความสัมพันธ์ เป็นเมืองคู่มิตร มีการค้าขายลงทุนระหว่างประชาชนทั้งสองฝ่ายมาเป็นเวลายาวนานและปริมาณและ มูลค่าการค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนับแต่เริ่มเปิดใช้สะพานมิตรภาพแห่งที่ 2เป็นต้นมา ซึ่งการจัดประชุมครั้งนี้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดมุกดาหารได้ดำเนินการตาม ภารกิจโดยนำผู้แทนภาคราชการ ภาคเอกชนและผู้ประกอบการจาก 18จังหวัดภาคอีสานของไทย ซึ่งมีนายสรสิทธิ์ ฤทธิ์สรไกร รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหารเป็นหัวหน้าคณะ ร่วมประชุมกับคณะผู้แทนภาคราชการ ภาคเอกชนและผู้ประกอบการแขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว ซึ่งมีท่านไกสอน คูนลาดสุวันนะวง รองเจ้าแขวงสะหวันนะเขตเป็นหัวหน้าคณะ ที่โรงแรมดาวสะหวัน รีสอร์ท แขวงสะหวันนะเขต ซึ่งการประชุมได้มีการเสนออุปสรรคปัญหาการเดินทางเข้า-ออกเมือง การนำเข้า-ส่งออกสินค้า และแนวทางแก้ไขปัญหาของทั้งสองฝ่ายที่จะต้องร่วมมือกัน นอกจากนี้บรรดานักธุรกิจผู้ประกอบการทั้งไทยและลาวได้เจรจาจับคู่ธุรกิจ มีคู่สัญญาสินค้าเกษตร ๔ สัญญา และความร่วมมือด้านการการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และบริการทั่วไป ๔๐ สัญญา รวมมูลค่ากว่า ๕๕๐ ล้านบาท โดยการประชุมครั้งนี้มีหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ และ กงสุลใหญ่ไทย ณ แขวงสะหวันนะเขต ร่วมสังเกตการณ์ด้วย





สุภาวดี อัมไพพันธ์ ส.ปชส.มห/ข่าว 

อาชีวะยโสธรต้านยาเสพติด

อาชีวะศึกษาจังหวัดยโสธรอบรมแกนนำ นักเรียนนักศึกษาวัยใสห่างไกล สิ่งเสพติด ที่ หอประชุมวิทยาลัยเทคนิคยโสธร นายประวัติ ถีถะแก้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานเปิดอบรมแกนนำ นักเรียน นักศึกษา ต้านยาเสพติด "วัยใสห่างไกลสิ่งเสพติด” นางวิภาษณ์ เทศน์ธรรม รองผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคยโสธร แทนประธานอาชีวะศึกษาจังหวัดยโสธร กล่าวว่านักเรียนนักศึกษาสถานศึกษาอาชีวะศึกษา ซึ่งเป็นเยาวชนที่กำลังอยู่ในวัยเสี่ยงต่อการหลงผิดและหลงระเริง ซึ่งอาจทำให้หลงทางและเบี่ยงเบน ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะเรื่องปัญหายาเสพติดซึ่งกำลังแพร่ระบาดอย่างมากในขณะนี้ ดังนั้นอาชีวะศึกษาจังหวัดยโสธร จึงได้จัดอบรมขึ้นเพื่อรณรงค์ให้เยาวชนรับรู้และตระหนักถึงโทษภัยของยาเสพ ติด พร้อมส่งเสริมสร้างความเข้มแข็งและภูมิคุ้มกันทางด้านร่างกายและจิตใจให้กับ เยาวชน ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติด พร้อมเป็นการสร้างเครือข่ายในสถานศึกษาให้มีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังการแพร่ ระบาดของยาเสพติด การฝึกอบรม มีนักเรียนนักศึกษาจากอาชีวะศึกษาจังหวัดยโสธร จำนวนทั้งสิ้น 200 คน ประกอบด้วย วิทยาลัยการอาชีพเลิงนกทา/ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยียโสธร / วิทยาลัยเทคนิคยโสธร / วิทยาลัยเทคโนโลยีศรีพิพัฒน์อินเตอร์ /วิทยาลัยเทคโนโลยีอินเตอร์เนชั่นแนล วิทยาลัยเทคโนโลยีมหาชนะชัย และวิทยาลัยอาชีวะศึกษา

ร้อยเอ็ด รณรงค์ Big Cleaning Day 3 ร 5 ป 1 ข ป้องกันและควบคุมไข้เลือดออก ปี 56

จังหวัดร้อยเอ็ด โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด จัดกิจกรรมรณรงค์ Big Cleaning Day 3 ร 5 ป 1 ข เพื่อป้องกันและควบคุมไข้เลือดออก ปี 2556 ณ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ บึงพลาญชัย จังหวัดร้อยเอ็ด
 
เมื่อช่วงเช้าวันนี้ 21 มิถุนายน 2556 นายพศิน โกมลวิชญ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธานในพิธีเปิดการรณรงค์ Big Cleaning Day 3 ร 5 ป 1 ข เพื่อป้องกันและควบคุมไข้เลือดออก ปี 2556 นายมีนายแพทย์ สุระ วิเศษศักดิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวให้การต้อนรับและกล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์ไข้เลือดออกในปัจจุบัน อัตราป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง ในภาพรวมของประเทศมากที่สุดในรอบ 10 ปี กระทรวงสาธารณสุขคาดว่าสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในปีนี้ จะมีผู้ป่วยประมาณ 2 แสน ถึง 5 แสน คน และจำนวนผู้เสียชีวิตอาจมากถึง 140 – 200 ราย สถานการณ์ของจังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 10 มิถุนายน 2556 มีผู้ป่วยรวม 1,066 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต การรณรงค์ในวันนี้ใช้ยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมของหน่วยงาน ภายใต้มาตรการ 3 ร 5 ป 1 ข ดังนี้ พื้นที่เสี่ยง 3 ร ประกอบด้วย โรงเรือน มี บ้าน ชุมชน วัด ให้ประชาชนต้องดูแลบ้านเรือนของตนเอง ตลอดจนจัดสภาพสิ่งแวดล้อมให้ปลอดลูกน้ำยุงลาย ,โรงเรียน ที่เป็นศูนย์เด็กเล็กต้องปลอดลูกน้ำยุงลาย จัดห้องเรียนให้โปร่ง มีมุ้งลวดกันยุงและกำจัดแหล่งน้ำเพาะพันธ์ยุง, โรงพยาบาล เป็นสถานที่ไม่มีลูกน้ำยุงลายเพราะรักษาผู้ป่วย, มาตรการ 5 ป คือ ปิด ปิดภาชนะน้ำดื่ม น้ำใช้ให้มิดชิด ป้องกันยุงลายวางไข่ เปลี่ยน น้ำในแจกัน,ถังเก็บน้ำทุกวัน ปล่อย ปลากินลูกน้ำในอ่างบัว อ่างซีเมนต์ ปรับปรุง สภาพแวดล้อมแหล่งเพาะพันธ์ยุง ปฏิบัติ กิจกรรม ปิด เปลี่ยน ปล่อย ปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและเป็นนิสัย , 1 ข คือ ขจัด ภาชนะที่มีน้ำขัง เพื่อกำจัดไข่ยุง
 
นายพศิน โกมลวิชญ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า ประชาชนทุกคนต้องมีความตระหนัก มีส่วนร่วมและจัดการสิ่งแวดล้อมไม่ให้เอื้อต่อการเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เพื่อเป็นการป้องกันตนเอง ครอบครัว และชุมชน ให้ปลอดจากโรคไข้เลือดออก สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งกายภาพ ชีวภาพ สารเคมี แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือวิธีกายภาพคนคนต้องดูแลสิ่งแวดล้อมร่วมกัน สามารถลดค่าใช้จ่ายจากการจัดซื้อสารเคมี และปลอดภัยกับทุกๆคน อีกด้วย
 
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้ ประกอบด้วยนักเรียนในโรงเรียนสังกัดเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด จำนวน 700 คน อสม.ในเขตชุมชนเมือง 20 ชุมชน ชุมชนละ 20 คน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ 18 ตำบลและ อบต. ในเขตอำเภอเมือง รวมทั้งสิ้นกว่า 2,000 คน และร่วมรับชมกิจกรรมการแสดงจากนักเรียนโรงเรียนเทศบาลวัดป่าเรไรและโรงเรียน เทศบาลหนองหญ้าม้า การจัดแสดงนิทรรศการจากสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 ขอนแก่น เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจมากขึ้น อีกด้วย




 
คมกฤช พวงศรีเคน ข่าว
บุญมี เพ็งรัตน์ ภาพ
กมลพร คำนึง บก.ข่าว
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดร้อยเอ็ด 043-527117

ผู้ว่าร้อยเอ็ดเรียกประชุมด่วนหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต 2556 เพื่อสร้างความเข้าใจกับเกษตรกร

เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ 20 มิถุนายน 2556 นายสมศักดิ์ ขำทวีพรหม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธานการประชุมร่วมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ณ ห้องประชุมข้าวหอมมะลิ ศาลากลางจังหวัดร้อยเอ็ดสืบเนื่องจาก คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ได้มีการประชุม ครั้งที่ 5/2556 เมื่อวันที่ 5/2556 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2556 พิจารณาการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 มีประเด็นสำคัญ และผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ได้เน้นย้ำในที่ประชุม นำไปเผยแพร่ให้เกษตรกรเข้าใจ ดังนี้

1. ปรับราคาข้าวจำนำ โดยปรับราคารับจำนำข้าวเปลือกเจ้า 100% ความชื้นไม่เกิน 15% ราคาตันละ 15,000 บาท เป็นราคาตันละ 12,000 บาท และข้าวเปลือกชนิดอื่นๆ ปรับลด 20% จากราคาเดิมที่กำหนดไว้เดิม โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2556 จนถึงวันที่ 15 กันยายน 2556 ดังนี้ ข้าวเปลือกเจ้า 100% ตันละ 12,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า 5% ตันละ 11,840 บาท ข้าวเปลือกเจ้า 10% ตันละ 11,680 บาท ข้าวเปลือกเจ้า 15% ตันละ 11,360 บาท ข้าวเปลือกเจ้า 25% ตันละ 11,040 บาท ข้าวเปลือกปทุมธานี 1 (42 กรัม) ตันละ 12,800 บาท ข้าวเปลือกเหนียว 10% เมล็ดยาว (42 กรัม) ตันละ 12,800 บาท ข้าวเปลือกเหนียว 10% เมล็ดสั้น (40 กรัม) ตันละ 12,000 บาท

2. จำกัดวงเงินรับจำนำของเกษตรกรแต่ละครัวเรือนจากเดิม ไม่จำกัดจำนวนเป็นไม่เกินครัวเรือนละ ห้าแสนบาท บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2556 เป็นต้นไป

3. การปิดจุดรับจำนำนอกพื้นที่ ให้มีการปิดจุดรับจำนำนอกพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2556 เป็นต้นไป ที่จังหวัดร้อยเอ็ด กับโรงสีที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 12 ราย เป็นของ อคส. 10 ราย และของ อ.ต.ก. 2 ราย โรงสีนอกพื้นที่ในจังหวัดจำนวน 21 แห่ง จุดรัยจำนำนอกพื้นที่ของโรงสีนอกพื้นที่ 1 แห่ง รวมจุดรับจำนำทั้งสิ้น 34 แห่ง เป็นของ อคส. 28 แห่ง อตก. 6 แห่ง ขณะนี้ได้ปิดรับจำนำนอกพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2556 เป็นต้นไป ให้เกษตรกรไปจำนำข้าวเปลือกได้เฉพาะ โรงสีภายในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 12 ราย เท่านั้น

4. อคส./อ.ต.ก. จะต้องกำกับดูแลและเข้มงวดกวดขันเจ้าหน้าที่ประจำจุดรับจำนำไม่ให้ดำเนินการ ออกใบประทวนลงวันที่ย้อนหลังให้แก่เกษตรกรในช่วงระหว่างวันที่ 19-30 มิถุนายน 2556 โดยเคร่งครัดกรณีตรวจสอบพบมีการออกใบประทวนลงวันที่ย้อนหลังในช่วงเวลาดัง กล่าวให้ถือว่าเป็นหารกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรงและให้ระมัดระวังการตก เป็นเครื่องมือของกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงเกษตรกรหลงเชื่อให้ร่วมเข้ากลุ่มการ รับจำนำข้าวของพ่อค้าคนกลางบางกลุ่มทำให้มีความผิดอาญาแผ่นดิน อาจต้องคดีได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

5.มอบหมายให้คณะอนุกรรมการติดตามกำกับดูแลการรับจำนำ ระดับจังหวัด และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตรวจสอบใบประทวนที่ยังไม่ได้จ่ายเงินให้เกษตรอย่างรอบคอบรัดกุมว่าข้าว เปลือกที่เกษตรกรนำมาจำนำเป็นข้าวเปลือกของเกษตรกรอย่างแท้จริง
 6.มอบหมายให้คณะอนุกรรมการติดตามกำกับดูแลการรับจำนำ ระดับจังหวัด กำกับดูแล ชี้แจงและทำความเข้าใจกับเกษตรกรในพื้นที่ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล

ขณะนี้ จากการสำรวจของสำนักงานเกษตรจังหวัดร้อยเอ็ด ว่า จังหวัดร้อยเอ็ดยังคงมีพื้นที่ ที่อยู่ระหว่างการการเก็บเกี่ยวข้าวนาปรังคงเหลืออยู่ จำนวน 5 อำเภอประกอบด้วย อำเภอเสลภูมิ อำเภอทุ่งเขาหลวง อำเภอโพธิ์ชัย อำเภอเชียงขวัญและอำเภออาจสามารถ รวมทั้ง 5 อำเภอผลผลิตข้าวนาปรังที่เก็บเกี่ยวได้ประมาณ 1,725 ตัน ที่จะรอการจำนำในอัตราใหม่ที่รัฐบาลกำหนด และให้ไปจำนำกับโรงสีในพื้นที่เท่านั้น ซึ่งทางจังหวัดร้อยเอ็ด ได้แจ้งรายละเอียดโรงสีที่รับจำนำต้องเป็นโรงสีในพื้นที่เท่านั้นและระวัง อย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพที่ชักชวนการซื้อขายใบประทวนซึ่งอาจทำให้ทำผิด กฎหมายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้ จึงได้เตือนเกษตรกรด้วยความห่วงใย



 
คมกฤช พวงศรีเคน ข่าว
กมลพร คำนึง บก.ข่าว

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดร้อยเอ็ด 043527117

สอศ. จัดอบรมเตรียมความพร้อมนักศึกษาเดินทางไปยูนนานในโครงการแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมไทย - จีน ปี 56 พร้อมสู่ประชาคมอาเซียน

สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาร่วมกับวิทยาลัยเทคนิค อาชีวศึกษาเกษตรยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จัดอบรมโครงการแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมไทย - จีน ปี 2556 ณ ห้องประชุมบริหารธุรกิจ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด
 เมื่อช่วงเช้าวันนี้ 20 มิถุนายน 2556 ดร.ชาติชาย เกตุพรม ผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด เป็นประธานเปิดการอบรมเตรียมความพร้อมนักศึกษาในโครงการแลกเปลี่ยนภาษาและ วัฒนธรรมไทย - จีน ปี 56 และได้กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและวิทยาลัยเทคนิคอาชีวศึกษาเกษตรยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ลงนามข้อตกลงร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนนักศึกษาและบุคลากรในโครงการแลก เปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมไทย – จีน มีวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 10 แห่ง ประกอบด้วย วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงใหม่ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุโขทัย วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุพรรณบุรี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลพบุรี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีชัยภูมิ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีษะเกษ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุบลราชธานี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีขอนแก่น วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคามและวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด การอบครั้งนี้เพื่อเตรียมความพร้อมการใช้ภาษาจีนในชีวิตประจำวัน เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมตลอดจนประเพณีของชาวจีนและการเตรียมความพร้อมการแสดงศิลปวัฒนธรรม ไทย
การอบรมครั้งนี้มีนักเรียน - นักศึกษาเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 40 คน ระหว่างวันที่ 19 – 23 มิถุนายน 2556 ผู้ผ่านการอบรมจะเดินทางไปตามโครงการฯ ดังกล่าว ที่ วิทยาลัยเทคนิคอาชีวศึกษาเกษตรยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างเดือน สิงหาคม 2556 – ธันวาคม 2556 รวมระยะเวลา 5 เดือน และวิทยากรฝึกอบรมเป็นคุณครูสอนภาษาจีนจากโรงเรียนผดุงนารีและโรงเรียนกันทร วิชัย จังหวัดมหาสารคาม จากวิทยาลัยเทคนิคร้อยเอ็ดและวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม




คมกฤช พวงศรีเคน ข่าว/ภาพ
กมลพร คำนึง บก.ข่าว

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดร้อยเอ็ด 043-527117

ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ

วันนี้ (22 มิถุนายน 2556) ณ ห้องประชุมโครงการศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ นายณฐพลษ์ วิเชียรเพริศ ผู้ตรวจราชการ กระทรวงมหาดไทย เขต 13 พร้อมด้วยคณะ เป็นประธานในการตรวจเยี่ยมติดตามผลการปฏิบัติราชการ ตามนโยบายรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย พร้อมกับรับฟังบรรยายสรุปของโครงการศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอภูสิงห์ โดยมีนายนพ พงศ์พลาดิสัย นายอำเภอภูสิงห์ นายสวัสดิ์ สมสะอาด ผู้อำนวยการโครงพัฒนาการเกษตร อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ ซึ่งการตรวจราชการในการติดตามผลการปฎิบัติราชการตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวง มหาดไทยนั้น ทั้งนี้ เพื่อรับทราบปัญหา อุปสรรคในการดำเนินงาน และแนวทางในการแก้ไข และรับฟังคำแนะนำ ข้อเสนอแนะในการปฏิบัติราชการ พร้อมทั้งตอบข้อซักถาม สำหรับศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ อันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้น ในปี 2532 ด้วยจังหวัดศรีสะเกษ ได้รับอนุญาตให้เข้าใช้พื้นที่จัดตั้ง โครงการระบบผลติพลังงานชีวมวลในชนบท ปี 2533 โครงการดังกล่าวยุติลง กองกำลังสุรนารี จึงจัดตั้งเป็นศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน เพื่อพัฒนาอาชีพแก่ราษฎร ในพื้นที่ตามแนวชายแดน และโดยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จเยี่ยมราษฎร เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2537 มีพระราชดำริ ให้ส่วนราชการต่างๆ ร่วมกันพิจารณาจัดตั้งศูนย์พัฒนาการเกษตรแบบเบ็ดเสร็จขึ้น เพื่อช่วยเหลือราษฎร ประกอบอาชีพทำนาไม่ได้ผล โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสนองพระราชดำริ ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นสถานที่ให้บริการทางด้านวิชาการเกษตรและสนับสนุนพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ แก่เกษตรกร เป็นศูนย์กลางสาธิต ฝึกอบรมและเป็นตัวอย่าง เผยแพร่ความรู้ทางด้านเกษตร ให้เกษตรกรนำไปประยุกต์ใช้พัฒนาอาชีพทางการเกษตรของตนเอง และเพื่อพัฒนาและยกระดับรายได้ และคุณภาพชีวิตของราษฎรในพื้นที่ ให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งมีพื้นที่หมู่บ้านรอบศูนย์ 21 หมู่บ้าน เป็นพื้นที่เป้าหมายเร่งด่วนอันดับที่ 1 พื้นที่ในเขตอำเภอภูสิงห์ 47 หมู่บ้าน คือหมู่บ้านโครงการทับทิมสยาม 04, 06, 07 เป็นหมู่บ้านเป้าหมายเร่งด่วนอันดับ 2 หมู่บ้านนอกเขตอำเภอภูสิงห์ 14 หมู่บ้าน คือ หมู่บ้านโครงการส่งเสริมศิลปาซีพ และหมู่บ้าน ปชด.ไทย-กัมพูชา ในจังหวัดศรีสะเกษ และศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธาน ซึ่งในศูนย์ฯ ได้ดำเนินโครงการ โดยคัดเลือกเมนูเด็ดของศูนย์ จำนวน 15 เมนู่ ประกอบด้วย การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105, การปลูกมะนาวนอกฤดู, การเพาะเห็ดเศรษฐกิจ, การปลูกยางพารา, เกษตรทฤษฎีใหม่, ระบบวนเกษตร, การเลี้ยงปลานิลในกระชัง, การเลี้ยงกบ, การเพาะเห็ดในไม้วงศ์ยาง, การปลูกหยายเพื่อใช้ประโยชน์จากหน่อ, การผลิตผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติ, การผลิตชาเขียวใบหม่อน, การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร(กล้วยตากอบน้ำผึ้ง และกล้วยกรอบเค็ม) และการเลี้ยงไก่พื้นเมืองในระดับครัวเรือน สุรศักดิ์ สร้ยเพชร / ข่าว สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดศรีสะเกษ

ตร.ศรีสะเกษ รวบ 3 โจ๋ เอเย่นต์ค้ายาบ้า พร้อมของกลางยาบ้า 2,176 เม็ด ตรวจค้นพบอาวุธสงครามอื้อ

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 21 มิ.ย. 56 ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ พล.ต.ต. พงษ์วุฒิ พงษ์ศรี ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจภรเมืองศรีสะเกษ แถลงข่าวการจับกุม 3 ผุ้ต้องหา ซึ่งเป็นเอเย่นค้ายาบ้ารายใหญ่ในพื้นที่ศรีสะเกษ ประกอบด้วย นายวรุตน์ หรือ ริว ดวงวัง อายุ 27 ปี นายเยี่ยม โขงสร้อย อายุ 22 ปี และ นายกิตติพงษ์ หรือ เจมส์ โมทะจิตร อายุ 24 ปี พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 2176 เม็ด พร้อมอาวุธสงครามบรรจุ และ อาวุธปืน บรรจุเครื่องกระสุนพร้อมใช้งาน อีกหลายรายการ อีกทั้งยังสามารถยึดรถยนต์เก๋งยี่ห้อเซฟโรเล็ต สีบอร์นเงิน หมายเลขทะเบียน ษม 3540 กรุงเทพมหานคร อีกจำนวน 1 คัน

การจับกุมในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากเมื่อเวลาประมาณ 23.30 น. วันที่ 20 มิ.ย.56 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการออกตรวจในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ก็พบเห็น 3 ผู้ต้องหา ขับรถยนต์เก๋งยี่ห้อเซฟโรเล็ต สีบร์อนเงิน หมายเลขทะเบียน ษม 3540 กรุงเทพมหานคร มานั่งอยู่ภายในร้านอาหารแถวถนนเทพา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เข้าไปแสดงตัวขอเข้าตรวจสอบ และตรวจค้น ขณะเจ้าหน้าที่กำลังขอเข้าตรวจสอบผู้ต้องหาเกิดแสดงอาการมีพิรุธ และพยายามจะหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงมีการกอดปล้ำกันกับผู้ต้องหา จนสามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 คนได้ จากการตรวจค้นภายในรถยนต์ของผู้ต้องหา พบยาบ้าบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีน้ำเงิน จำนวน 11 ถุง รวม 2,176 เม็ด และอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนอีกหลายรายการอยู่ภายในรถยนต์เก่งดังกล่าว ประกอบด้วย อาวุธปืน M16 ขนาด 5.56 มม. จำนวน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืนขนาด 5.56 จำนวน 58 นัด ที่พร้อมใช้งาน , อาวุธปืนยาวลูกกรด ขนาด .22 มม จำนวน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืนขนาด .22 จำนวน 6 นัด ที่พร้อมใช้งาน , อาวุธปืนลูกซองยาว 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืนที่บรรจุอยู่ในรังเพลิง จำนวน 3 นัด , อาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 มม. 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 30 นัด , อาวุธปืนพกสั้นขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนขนาด .38 จำนวน 11 นัด , อาวุธปืนพกสั้นแบบอโตเมติกขนาด .22 พร้อมเครื่องกระสุนปืนขนาด .22 จำนวน 10 นัด และยังมีเครื่องกระสุนขนาด .25 จำนวน 1 นัด , เครื่องกระสุนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 4 นัด และเครื่องกระสุน เอเค 47 อีกจำนวน 1 นัด

พล.ต.ต. พงษ์วุฒิ กล่าวว่า ผู้ต้องหา ทั้ง 3 ราย มีพฤติกรรมลักลอบขายยาบ้าในพื้นที่เขตอำเภอเมืองศรีสะเกษ และอำเภอใกล้เคียงเป็นเวลานาน รวมไปถึงชอบสะสมอาวุธ และพกพาไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อป้องกันตัว และต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สุดท้ายไปไม่รอด โดนจับกุมได้ ในที่สุด เบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะได้นำตัวผู้ต้องหา ทั้ง 3 ราย ส่ง พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองศรีสะเกษ เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

กรมการท่องเที่ยวร่วมกับสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและสมาคมการท่องเที่ยวจังหวัดศรีสะเกษจัดงานวันมัคคุเทศก์ไทย ประจำปี 2556

นายพินิจ วงษ์โสภา ประชาสัมพันธ์จังหวัดศรีสะเกษ รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2556 เวลา 07.30 น. ที่โรงเรียนอนุบาลวัดพระโต อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ดร.กัลยาณี ธรรมจารีย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดศรีสะเกษ และดร.เฉลิมชัย สารภาพ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลวัดพระโต ได้ร่วมกันเป็นประธานทำบุญตักบาตรเนื่องในวันมัคคุเทศก์ไทย ประจำปี 2556 โดยมีสมาชิกสมาคมการท่องเที่ยวจังหวัดศรีสะเกษ ข้าราชการครูและนักเรียนโรงเรียนอนุบาลวัดพระโต ร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการระลึกถึงสมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชรนุภาพ พระบิดาแห่งมัคคุเทศก์ไทย เนื่องในโอกาสครอบก่อตั้งวันมัคคุเทศก์ไทย 151 ปี และเพื่อสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสมาชิกสมาคมการท่องเที่ยวจังหวัดศรีสะเกษ

ดร.กัลยาณี กล่าว่า กรมการท่องเที่ยวร่วมกับสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและสมาคม การท่องเที่ยวจังหวัดศรีสะเกษจัดงานวันมัคคุเทศก์ไทย ประจำปี 2556 เพื่อเป็นการระลึกถึงสมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชรนุภาพ พระบิดาแห่งมัคคุเทศก์ไทย เนื่องในโอกาสครอบก่อตั้งวันมัคคุเทศก์ไทย 151 ปี และเพื่อสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสมาชิกสมาคมการท่องเที่ยวจังหวัดศรีสะเกษ และขอฝากให้สมาชิกสมาคมการท่องเที่ยวจังหวัดศรีสะเกษ ได้ตระหนักในการส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดศรีสะเกษด้วย




บุญทัน ธุศรีวรรณ / ข่าว

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดศรีสะเกษ

นักเรียน นักศึกษา และประชาชนชาวจังหวัดศรีสะเกษ ร่วมบริจาคโลหิต เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวโรกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

นายพินิจ  วงษ์โสภา  ประชาสัมพันธ์จังหวัดศรีสะเกษ รายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 21 มิ.ย.56 ที่บริเวณหน้าห้างกิจเจริญไทย อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดศรีสะเกษ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ออกหน่วยรับบริจาคโลหิต เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวโรกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งการออกรับบริจาคโลหิต เป็นอีกหนึ่งภารกิจของสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัด ที่จำเป็นอย่างยิ่งในการออกรับบริจาคโลหิต ในการเก็บสำรองที่ธนาคารเลือด เพื่อนำแจกจ่ายให้กับโรงพยาบาลไว้ช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการเลือด

สำหรับการออกรับบริจาคโลหิตในครั้งนี้ มีนักเรียน นักศึกษาจากวิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ, วิทยาลัยการอาชีพศรีสะเกษ, วิทยาลัยสารพัดช่างศรีสะเกษ, โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ศรีสะเกษ, พนักงานบริษัทกิจเจริญไทย จำกัด และพี่น้อง ประชาชนชาวจังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 350 คน ได้โลหิตประมาณ 105,000 ซี.ซี.

โดยโลหิตที่ได้ในวันนี้ จะนำไปเก็บสำรองในธนาคารเลือด แจกจ่ายให้กับโรงพยาบาลต่างๆในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดใกล้เคียงต่อไป



สุรศักดิ์  สร้อยเพชร / ข่าว

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดศรีสะเกษ

สระแก้วจัดพิธีเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์และโครงการ "หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” และกิจกรรม "สระแก้วผูกใจประสาน ให้บริการประชาชน”

วันนี้ (21 มิ.ย. 56) ณ โรงเรียนบ้านพระเพลิง หมู่ที่1 ต.พระเพลิง อ.เขาฉกรรจ์  จ.สระแก้ว  นายนายวรพันธุ์ สุวัณณุสส์ ปลัดจังหวัดสระแก้ว เป็นประธานเปิดโครงการ "หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชนและกิจกรรม "สระแก้วผูกใจประสาน ให้บริการประชาชนประเดือน มิถุนายน 2556 โดยกิจกรรมในวันนี้ได้มีพิธีเทิดทูนสถาบันของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์และหลังจากนั้นเป็นการเปิดโครงการหน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชนและโครงการสระแก้วผูกใจประสานให้บริการประชาชน ซึ่งเป็นการออกหน่วยของส่วนราชการที่มาให้บริการประชาชนถึงพื้นที่ มีการให้บริการในทุก ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาล การแนะนำข้อมูลต่างๆจากหน่วยงานราชการ การมอบโฉนดที่ดินทำกิน พร้อมทั้งยังแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค มอบจักรยานให้แก่นักเรียน มอบเงินให้แก่ผู้ด้อยโอกาส และยากจน การลงทะเบียนแรงงาน เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจและสามารถติดต่อกับหน่วยงานของทางราชการได้อย่างถูกต้อง สำหรับการจัดกิจกรรม "สระแก้วผูกใจประสานให้บริการประชาชนมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ส่วนราชการ หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ ได้รับทราบปัญหาความต้องการที่แท้จริงของประชาชน และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในทุก ๆ ด้าน อีกทั้งเพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนให้สามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้สะดวก รวดเร็ว ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ในการเดินทางมาติดต่อราชการ และลดค่าครองชีพให้กับประชาชนในภาระเศรษฐกิจปัจจุบัน รวมถึงเพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างส่วนราชการกับประชาชนพื้นที่ อันจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่และชุมชน

จังหวัดอำนาจเจริญ จัดโครงการอบรมป้องกันยาเสพติด “ค่ายคนดีศรีอำนาจเจริญ” ประจำปี ๕๖ รุ่นที่ ๑

ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ พร้อมด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา และหัวหน้าส่วนราชการ  พบปะชี้แจงทำความเข้าใจผู้ปกครองนักเรียน นักศึกษา ให้ดูแลเด็กในความปกครองอย่างใกล้ชิดให้ห่างไกลยาเสพติด และร่วมกันเป็นกำลังใจให้กับเยาวชนในพิธีเปิดการเข้าค่ายอบรมสร้างภูมิคุ้ม กันยาเสพติด  ตามโครงการ ”คนดีศรีอำนาจเจริญ” ประจำปี ๒๕๕๖ รุ่นที่ ๑

เวลา ๐๙.๓๐ น. วันนี้ (๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๖) ที่กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดอำนาจเจริญ ที่ ๑  นายวีระวัฒน์ ชื่นวาริน ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการอบรมค่ายคนดีศรีอำนาจเจริญ ประจำปี ๒๕๕๖ รุ่นที่ ๑  โดยมี โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา ตลอดจนผู้ปกครอง เข้าร่วมเป็นเกียรติและให้กำลังใจให้กับผู้เข้าอบรมครั้งนี้เป็นจำนวนมาก  ทั้งนี้ ตามที่รัฐบาลกำหนดแผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด เป็นยุทธศาสตร์หลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ภายใต้กลยุทธ์ ๗ แผน ๔ ปรับ ๓ หลัก ๖ เร่ง โดยในแผนงานที่ ๓ เป็นแผนการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา โดยจัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันเยาวชนในสถานศึกษาให้มีภูมิคุ้มกัน และลดปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดในสถานศึกษา ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับสภาพสังคมในปัจจุบันที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อเยาวชนใน สถานศึกษาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดรุนแรงมากขึ้น

ดังนั้น จังหวัดอำนาจเจริญ จึงได้จัดโครงการ”ค่ายคนดีศรีอำนาจเจริญ” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเสริมสร้างพัฒนาบุคลิกภาพ และสร้างภูมิคุ้มกัน ด้วยกระบวนการค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรม  และเพื่อให้สถานศึกษา หมู่บ้าน/ชุมชน มีความเข้มแข็ง ป้องกันภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้เข้าอบรมเป็นกลุ่มเป้าหมายจากสถานศึกษาในพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ จำนวน ๑๐๐ คน

ในโอกาสนี้ นายวีระวัฒน์ ชื่นวาริน  ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ได้นำ ผู้บริหารสถานศึกษา และหัวหน้าส่วนราชการ  พบปะชี้แจงทำความเข้าใจผู้ปกครองนักเรียน นักศึกษา ให้ดูแลเด็กในความปกครองอย่างใกล้ชิดให้ห่างไกลยาเสพติด และร่วมกันเป็นกำลังใจให้กับเยาวชนให้เกิดความมุ่งมั่น ตั้งใจ ที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่เข้าไปยุ่งกับยาเสพติด  ซึ่งผู้ปกครองทุกคนต่างมีความเข้าใจและเต็มใจที่จะให้บุตรหลานเข้ารับการอบรม และหลังจากที่บุตรหลานจบการอบรมแล้วก็พร้อมจะให้ความอบอุ่นและดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เขามีความเข้มแข็ง และเป็นผู้นำและเป็นแบบอย่างที่ดีในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในครอบครัว สถานศึกษา สังคม หมู่บ้าน และชุมชนต่อไป




สุรพล  บุตรวงศ์ /  ข่าว

ผู้ว่าฯสุรินทร์เรียกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนประชุมด่วนชี้แจงนโยบายเร่งด่านของรัฐบาล

ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์เรียกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ผู้ที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชนประชุมด่วนชี้แจงนโยบายเร่งด่านของรัฐบาล


วันนี้ ( 21 มิ.ย. 2556 ) ที่ห้องประชุมโรงรมทองธารินทร์ จังหวัดสุรินทร์ นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เป็นประธานในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนจังหวัดสุรินทร์ เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจเรื่องของนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายการรับจำนำข้าวเปลือกประจำปี 2555 / 2556 ที่รัฐบาลได้ปรับลดราคาการรับจำนำข้าวเปลือกลง โดยก่อนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ได้ชี้แจงโครงการดังกล่าว ได้มอบใบประกาศเกียรติคุณเชิดชูเกียรติแก่ผู้นำเครือข่ายพัฒนาชุมชนดีเด่น ประจำปี 2556 จำนวน 15 ราย ประกอบด้วย หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงดีเด่น " อยู่เย็น เป็นสุข " ดีเด่น ผู้นำอาสาพัฒนาชุมชนดีเด่น กลุ่ม/องค์การชุมชนแกนหลักสำคัญในการพัฒนาหมู่บ้านดีเด่น และศูนย์ประสานงานองค์การชุมชนระดับตำบลดีเด่น จากนั้นในที่ประชุมโดยผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ชี้แจงทำความเข้านโยบายการปรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555 / 2556 ของรัฐบาล เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้นำไปชี้แจงให้กับประชาชน และเกษตรกร โดยรัฐบาลได้ปรับราคาการรับจำนำข้าวเปลือกลงจากเดิมร้อยละ 20 มีผลตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย. 2556 ถึงวันที่ 15 ก.ย. 2556 โดยราคาข้าวเปลือกเจ้า 100 % จากราคาเดิม 15,000 บาทต่อตัน เหลือ 12,000 บาทต่อตัน ส่วนข้าวหอมมะลิรัฐบาลยังไม่ได้กำหนดราคา ทั้งนี้ได้จำกัดวงเงินรับจำนำข้าวของเกษตรกรแต่ละครัวเรือนจากเดิมที่ไม่ จำกัดวงเงินเป็นเงินไม่เกินครัวเรือนละ 500,000 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 มิ.ย. 2556 เป็นต้นไป



ประนนท์ ไม้หอม / ส.ปชส.สุรินทร์/รายงาน

สสจ.อุดรเชิญนักข่าวกินข้าวเล่าเรื่องอุบัติเหตุ

จังหวัดอุดรธานี ประสบปัญหาการจราจรหนาแน่นและมักจะเกิดอุบัติเหตุอยู่เสมอ คณะกรรมการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน จึงได้จัดกิจกรรมเชิญนักข่าวกินข้าวเล่าเรื่องอุบัติเหตุทางถนน เพื่อรับฟังความคิดเห็นนำไปแก้ไขให้ตรงจุดและยั่งยืน

วันนี้ (19 มิ.ย. 56) ที่สวนอาหารบึงไม้หอม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี นายณรงค์ พลละเอียด รอง ผวจ.อุดรธานี เป็นประธานกิจกรรมเชิญนักข่าวกินข้าวเล่าเรื่องอุบัติเหตุทางถนนเมือง อุดรธานี โดยมีสื่อมวลชนเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก

จังหวัดอุดรธานี โดยคณะกรรมการป้องกันและลดอุบัติทางถนน ร่วมกับคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดอุดรธานี ได้จัดกิจกรรมนี้ขึ้น เพื่อเป็นการบูรณาการวิเคราะห์ข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุทางถนน และแสดงข้อคิดเห็นร่วมกันระหว่างสื่อมวลชนและคณะกรรมการ เพื่อนำไปวางแผนแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนให้ตรงจัดและแก้ปัญหาอย่าง ยั่งยืนต่อไป โดยตัวแทนสื่อมวลชนจังหวัดอุดรธานี ได้สะท้อนปัญหาการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่ และปัญหาการจราจรหนาแน่นและติดขัด ในเขตเทศบาลนครอุดรธานี โดยเฉพาะถนนศรีสุข ซึ่งเป็นย่านสถานศึกษา สาเหตุหลักส่วนหนึ่งคือการใช้รถใช้ถนนอย่างประมาทและไม่มีวินัยจราจร ในที่ประชุมจึงได้เกิดแนวคิดและวางเป้าหมายให้ถนนสายอุดรธานี – หนองบัวลำภู เป็นถนนแห่งความปลอดภัย และถนนศรีสุข เป็นถนนคล่องตัว ในเบื้องต้นจะดำเนินการประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือให้ผู้ใช้รถใช้ถนนปฏิบัติ ตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และต่อไปจะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไป




ทีมข่าว ส.ปชส.อด. ประชุม จตุเทน ข่าว/ภาพ

สสจ.อุดรเชิญนักข่าวกินข้าวเล่าเรื่องอุบัติเหตุ

จังหวัดอุดรธานี ประสบปัญหาการจราจรหนาแน่นและมักจะเกิดอุบัติเหตุอยู่เสมอ คณะกรรมการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน จึงได้จัดกิจกรรมเชิญนักข่าวกินข้าวเล่าเรื่องอุบัติเหตุทางถนน เพื่อรับฟังความคิดเห็นนำไปแก้ไขให้ตรงจุดและยั่งยืน

วันนี้ (19 มิ.ย. 56) ที่สวนอาหารบึงไม้หอม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี นายณรงค์ พลละเอียด รอง ผวจ.อุดรธานี เป็นประธานกิจกรรมเชิญนักข่าวกินข้าวเล่าเรื่องอุบัติเหตุทางถนนเมือง อุดรธานี โดยมีสื่อมวลชนเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก

จังหวัดอุดรธานี โดยคณะกรรมการป้องกันและลดอุบัติทางถนน ร่วมกับคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดอุดรธานี ได้จัดกิจกรรมนี้ขึ้น เพื่อเป็นการบูรณาการวิเคราะห์ข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุทางถนน และแสดงข้อคิดเห็นร่วมกันระหว่างสื่อมวลชนและคณะกรรมการ เพื่อนำไปวางแผนแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนให้ตรงจัดและแก้ปัญหาอย่าง ยั่งยืนต่อไป โดยตัวแทนสื่อมวลชนจังหวัดอุดรธานี ได้สะท้อนปัญหาการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่ และปัญหาการจราจรหนาแน่นและติดขัด ในเขตเทศบาลนครอุดรธานี โดยเฉพาะถนนศรีสุข ซึ่งเป็นย่านสถานศึกษา สาเหตุหลักส่วนหนึ่งคือการใช้รถใช้ถนนอย่างประมาทและไม่มีวินัยจราจร ในที่ประชุมจึงได้เกิดแนวคิดและวางเป้าหมายให้ถนนสายอุดรธานี – หนองบัวลำภู เป็นถนนแห่งความปลอดภัย และถนนศรีสุข เป็นถนนคล่องตัว ในเบื้องต้นจะดำเนินการประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือให้ผู้ใช้รถใช้ถนนปฏิบัติ ตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และต่อไปจะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไป




ทีมข่าว ส.ปชส.อด. ประชุม จตุเทน ข่าว/ภาพ

ปกครองจังหวัดอุดรธานีจัดอบรมเพิ่มประสิทธิภาพ ผรส.ในพื้นที่

ที่ทำการปกครองจังหวัดอุดรธานีจัดอบรมเพิ่มประสิทธิภาพผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ฝ่ายรักษาความสงบ เสริมสร้างสมรรรถนะ เพิ่มทักษะด้านวิชาการ ยุทธวิธี ความพร้อมด้านร่างกาย จิตใจในการปฏิบัติงานรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกันปราบปรามยาเสพติดใน หมู่บ้าน/ชุมชน

ที่โรงแรมอุดรโฮเต็ล อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีเป็นประธานเปิดการอบรมเพิ่มประสิทธิภาพผู้ช่วย ผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ รุ่นที่ 2 ประจำปี 2556 ซึ่งเป็นผู้อบรมจาก 10 อำเภอของจังหวัดอุดรธานี อาทิ อำเภอเมือง เพ็ญ บ้านผือ น้ำโสม หนองวัวซอ กุดจับ หนองแสง นายูง พิบูลย์รักษ์ และอำเภอประจักษ์ศิลปาคม อำเภอละ 100 คน รวม 200 คน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ หรือ ผรส.ให้มีสมรรถภาพเพิ่มขึ้น ทั้งทางด้านวิชาการ ด้านร่างกาย และจิตใจ ด้วยการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับกฏหมายที่ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ การรายงานข่าวสถาการณ์ยาเสพติดในปัจจุบันและการฝึกยิงปืนด้วยกระสุนจริงและ การใช้การบำรุงรักษาปืน เพื่อให้มีความพร้อมที่จะปฏิบัติงานในการรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกัน แก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน

นายพงสิทธิ์ เปรยะโพธิเดชะ ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 154/2554 ลงวันที่ 9 กันยายน 2554 เรื่องยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ คำสั่งศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติที่ 1/2554 เรื่องแผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พ.ศ.2555และคำสั่งศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ ที่ 23/2555 เรื่องปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอย่างยั่งยืนปี 2556 ซึ่งกำหนดแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ภายใต้กลยุทธ์ 7 แผนงานหลัก โดยในแผนงานที่ 1 แผนการสร้างพลังสังคมและพลังชุมชนเอาชนะยาเสพติด กำหนดให้มีการสร้างความเข้มแข็งให้กับหมู่บ้าน/ชุมชน ทั้วประเทศเพื่อป้องกัน เฝ้าระวัง และแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยอาศัยพลังของชุมชนในพื้นที่ร่วมกับกลไกภาครัฐ เพื่อให้สามารถลดปัญหายาเสพติดให้เห็นผลเป็นรูปธรรม โดยในระดับหมู่บ้าน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้กำหนดให้มีตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบหรือ ผรส.. ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือผู้ใหญ่บ้าน ในการรักษาความสงบเรียบร้อยและการป้องกันการแก้ไขปัญหายาเสพติดภายในหมู่ บ้าน ซึ่งในการเข้าสู่ตำแหน่งมีบางคนที่ได้เข้ารับการฝึกอบรมจากศูนย์ฝึกสมานมิตร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นเวลานานแล้วและมีอีกจำนวน ยังไม่เคยเข้ารับการฝึกอบรมทำให้ประสิทธิผลในการปฏิบัติงานไม่บรรลุผลเท่า ที่ควร จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจัดให้มีการฝึกอบรมดังกล่าวขึ้น ซึ่งในส่วนของจังหวัดอุดรานีจัดการอบรมออกเป็น 2 รุ่น รุ่นแรกอบรมไปแล้วเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2556ที่ผ่านมาและรุ่นนี้เป็นการจัดอบรมเป็นรุ่นที่ 2

นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลได้ประกาศสงครามกับยาเสพติดตั้งแต่ ปี พ.ศ.2546 และดำเนินยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด โดยกำหนก Road map การต่อสู้กับยาเสพติด และปฏิบัติการกวดล้างยาเสพติดมาเป็นระยะ ทำให้สถานการณ์ยาเสพติดลดความรุนแรงลง จนไม่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตตามปกติของประชาชนโดยทั่วไป แต่ปัจจุบันสถานการณ์ยาเสพติดหวนกลับมาเป็นปัญหาสำคัญและมีแนวโน้มที่จะมี ความรุนแรงมากขึ้น โดยสาเหตุมาจากกระแสโลกาภิวัฒน์ ในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การคมนาคม การเคลื่อนย้ายแรงงานทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ ปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งสืบเนื่องมาจากพลังแผ่นดินทุกภาคส่วนยังไม่เข้มแข็ง เพียงพอ ที่จะผนึกกำลังเป็นวาระของคนในชาติที่จะร่วมแก้ไขปัญหา จนนำไปสู่ชัยชนะอย่างยั่งยืน รวมทั้งปัจจัยด้านเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศ ที่ส่งผลทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งตกเป็นเหยื่อของยาเสพติดควบคู่กับปัจจัยภาย นอกประเทศที่ยังคงส่งผลทำให้ปัญหา การผลิตและนำเข้ายาเสพติดยังคงเป็นปัญหาสำคัญ ทั้งนี้มีข้อมูลจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดยืนยังสถานการณ์การ แพร่ระบาดดของยาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน ในปี 2555 ว่ามีประมาณ 65,000 หมู่บ้าน/ชุมชน มีผู้เกี่ยวข้อง กับยาเสพติดประมาณ 1.2 ล้านคน การฝึกอบรมครั้งนี้ถือเป็นแนวทางหนึ่งในการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไข ปัญหายาเสพติด โดยอาศัยพลังมวลชนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และการเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานของประชาชน เพื่อลดปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมชัดเจน



ทีมข่าว ส.ปชส.อด. ศรีภูมิ ทองใหญ่ ณ อยุธยา ข่าว/ภาพ

กาฬสินธุ์แถลงข่าวความร่วมมือ 3 สภา ส่งเสริมผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558

หอการค้าจังหวัดกาฬสินธุ์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สาขาอุดรธานี แถลงข่าวความร่วมมือ 3 สภาหลักในการที่จะช่วยเหลือสมาชิกให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการ เงินเพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558

เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (21 มิถุนายน 2556) ที่ห้องเบญจพร โรงแรมริมปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ นายมโนฑ ศรีพรมทอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาขา บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สาขาอุดรธานี นายชนินทร์ สังข์วิเศษ ประธานหอการค้าจังหวัดกาฬสินธุ์ และนายเกษม จิรัฐพิกาลพงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ร่วมกันแถลงข่าวความร่วมมือ 3 สภาหลัก ซึ่งได้แก่ หอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่ได้ลงนามความร่วมมือกับ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในการที่จะช่วยเหลือสมาชิกให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินและ ส่งเสริมความแข็งแกร่งธุรกิจ SMEs ภาคอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การบริการ ให้มีการเติบโตอย่างมีศักยภาพเพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ที่จะถึงนี้

นายมโนฑ ศรีพรมทอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาขา บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สาขาอุดรธานี กล่าวว่า บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม หรือ บยส.เป็นหน่วยงานของรัฐมีสถานภาพเป็นรัฐวิสาหิจ สังกัดกระทรวงการคลัง ซึ่งมีหน้าที่ในการให้การค้ำประกันสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายย่อย (SME) ในส่วนที่ขาดหลักค้ำประกันหรือไม่มีหลักประกัน ในการนี้ บสย. ได้เล็งเห็นว่าจังหวัดกาฬสินธุ์มีเศรษฐกิจกำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่ ผ่านมาทุกปี ซึ่งพิจารณาจากผลค้ำประกันสินเชื่อของ บยส.ที่เพิ่มขึ้นถึง 67% ในปี 2555 เมื่อเทียบกับปี 2554 และ ณ ปัจจุบัน บยส.ได้ให้การค้ำประกันสินเชื่อของจังหวัดกาฬสินธุ์รวมทุกโครงการ จำนวน 904 ราย วงเงินอนุมัติค้ำประกัน 1,732 ล้านบาท เป็นลำดับที่ 5 ของภาคอีสาน และในวันนี้ บสย. มีโครงการที่จะค้ำประกันให้กับผู้ประกอบการในจังหวัดกาฬสินธุ์ 3 โครงการ ซึ่งได้แก่ 1.โครงการ Portfolio Guarantee Scheme (พอร์ทฟอลิโอ การันตี สคีม) ระยะที่ 5 หรือ PGS5 ซึ่งมีวงเงินค้ำประกัน 240,000 ล้านบาท ระยะเวลาใช้วงเงิน 3 ปีเพื่อช่วยเหลือ SME ที่มีศักยภาพและที่ขาดหลักประกัน ซึ่งผู้ประกอบการสามารถนำเงินทุนไปลงทุนในต่างประเทศได้อีกด้วย ทั้งนี้เพื่อรองรับ AEC ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 โครงการที่ 2. โครงการ New Start-Up SMEs (นิว สตาร์ทอัพ เอสเอ็มอีเอส) เป็นโครงการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ที่จดทะเบียนและ ประกอบกิจการมาไม่เกิน 3 ปี และยังขาดเงินทุนในการประกอบการ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ฟรีค่าธรรมเนียมในปีแรก และ 3.โครงหาร PIL (พีไอแอล) เป็นสินเชื่อนโยบายของรัฐบาลที่ทาง บสย.ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME BANK) เพื่อช่วยเหลือ SMEs พัฒนาเครื่องจักรในภาคการผลิตและพัฒนากระบวนการทำงานในทุกภาคธุรกิจ ภายใต้วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท

นายชนินทร์ สังข์วิเศษ ประธานหอการค้าจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า โครงการของ บสย.ทั้ง 3 โครงการเป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจของจังหวัด กาฬสินธุ์ ในเรื่องการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจในจังหวัด จึงถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการสมาชิกหอการค้าจังหวัดกาฬสินธุ์ใน หลายกลุ่มธุรกิจ ที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนตรงนี้ได้

นายเกษม จิรัฐพิกาลพงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า เป็นโอกาสที่ดีของสมาชิกสภาอุตสาหกรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ ที่จะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งสมาชิกหรือผู้ประกอบการรายใดสนใจที่จะร่วมโครงการของ บสย.ดังกล่าวสามารถติดต่อได้ที่ อุตสาหกรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ หรือที่ บสย.ได้โดยตรง
 

 


ข่าวจาก ทีมข่าว สวท.กาฬสินธุ์

ตำรวจกาฬสินธุ์สาวใหญ่รับจ้างขนยาบ้า 10,000 เม็ด

ตำรวจชุด ปส. ตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ รวบสาวใหญ่รับจ้างจากขนยาบ้าจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านมาส่งลูกค้าที่จังหวัด กาฬสินธุ์ 10,000 เม็ด สารภาพทำเป็นครั้งแรกได้ค่าจ้าง 10,000 บาท 

เมื่อเวลา 12.50 น. วันนี้ (21 มิถุนายน 2556) ที่บริเวณหน้ากองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ นายสุวิทย์ สุบงกฎ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ พ.ต.อ.วิเชียร พิณดวง รอง ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมนางสุกัญญา อุทัยแสง อายุ 42 ปี พร้อมของกลางยาบ้า 10,000 เม็ด โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง เงินสด 9,500 บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดกาฬสินธุ์ ถนนประดิษฐ์ ตำบลกาฬสินธุ์ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ 

สำหรับการจับกุมนางสุกัญญา อุทัยแสง เจ้าหน้าที่ได้รับทราบจากสายลับว่าจะมีขบวนการค้ายาเสพติดนำยาบ้ามาส่งในเขต พื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยจะนั่งรถโดยสารประจำทางมาลงที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดกาฬสินธุ์ จึงได้ให้สายลับติดต่อล่อซื้อยาจนกระทั่งเวลา 11.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจพบนางสุกัญญาลงมาจากรถและตรงตามรูปพรรณที่ได้รับแจ้งมา จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้นตะกร้าพลาสติกมีหมูยอ ส่วนด้านล่างพบยาบ้าบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีน้ำเงิน 50 ถุง จำนวน 10,000 เม็ด เบื้องต้นนางสุกัญญาให้การว่าได้รับการว่าจ้างจากนางเฒ่า ชาวลาว ให้นำยาบ้าที่ซ่อนไว้ในตะกร้าพลาสติกไปส่งให้ลูกค้าที่จังหวัดอำนาจเจริญ จำนวน 4 คนๆ ละ 1 ตะกร้า เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา และได้ขึ้นรถโดยสารมาพักค้างคืนที่ร้อยเอ็ดและเตรียมนำยาบ้ามาส่งให้ลูกค้า ที่กาฬสินธุ์ จนถูกตำรวจจับในที่สุด

ด้านนายสุวิทย์ สุบงกฎ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ค้ายาเสพติดได้ใช้อาศัยเส้นทางการขนส่งยาบ้าด้วยรถโดยสารประจำทาง มากขึ้น และวิธีการก็แยบยลมากขึ้น จากนี้ไปจังหวัดกาฬสินธุ์จะวางมาตรการเข้มมีการตั้งด่านถาวร เฝ้าระวังขบวนการค้ายาเสพติดอย่างเต็มที่ หากมีข้อมูลพบผู้ต้องสงสัยที่โดยสารมากับรถโดยสารประจำทาง ก็ต้องตรวจค้นอย่างละเอียดเพื่อป้องกันอีกแนวทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ฝากถึงพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดกาฬสินธุ์หากพบเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติด ขอให้แจ้งได้ที่สถานีตำรวจทุกแห่ง กำนัน ผู้ใหญ่บ้านหรือทางอำเภอ เพื่อช่วยกันปราบปรามยาเสพติดให้หมดไปจากจังหวัดกาฬสินธุ์
 




ดวงใจ หงษ์จันทร์ ข่าว

ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ชี้ปัญหาภาษาการสื่อสารไทยอ่อนหากเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

นายธีระพงษ์ โสดาศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ได้เผยว่า ด้วยในปี 2558 ประเทศไทยและประเทศในกลุ่มอาเซียน รวม 10 ประเทศ จะได้รวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งการรวมตัวดังกล่าว ภายในภูมิภาคจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น การเคลื่อนย้ายแรงงานในระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน การเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ ด้านธุรกิจ ด้านการคมนาคม สังคมจะมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ทั้งด้านความเป็นอยู่ ด้านวัฒนธรรมข้ามชาติระหว่างกัน ดังนั้น หากว่าประเทศไทยไม่เตรียมพร้อมหรือมีความพร้อมจะเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปัญหาที่ประเทศไทยกังวลและประสบอยู่คือด้านการสื่อสาร เพราะคนไทยอ่อนภาษามาก โดยเฉพาะภาษอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาสากล นอกนั้นแล้วยังมีภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ที่นับวันจะเข้ามามีบทบาทในกลุ่มอาเซียน 

นายธีระพงษ์ โสดาศรี ได้กล่าวอีกว่า ในส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งมีเส้นทางคมนาคมระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตก หรือ East West Economic Coridor (EWEC) ที่ต้องมีรถขนถ่ายสินค้าและบริการ การเดินทางผ่านของนักท่องเที่ยว นักธุรกิจของประเทศจีน เวียดนาม ลาว ไทยและพม่า ฉะนั้นกาฬสินธุ์ต้องเตรียมตัวในด้านภาษาเพื่อการสื่อสาร และการเตรียมพร้อมเป็นเจ้าบ้านที่ดีในการต้อนรับนักท่องเที่ยว จึงอยากให้ตระหนักถึงผลเหล่านี้ที่จะตามมา 




สุรพล คุณภักดี/ข่าว

จังหวัดกาฬสินธุ์เปิดโครงการ “ดวงตาสดใส ปลอดภัยจากโรคต้อกระจก ด้วยพระบารมีในหลวง”

จังหวัดกาฬสินธุ์ ร่วมกับ คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เปิดโครงการ "ดวงตาสดใส ปลอดภัยจากโรคต้อกระจก ด้วยพระบารมีในหลวง” คัดกรองและผ่าตัดตาต้อกระจกให้กับชาวจังหวัดกาฬสินธุ์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ตั้งเป้าให้จังหวัดกาฬสินธุ์ปลอดคนตาบอกจากต้อกระจก

เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (21 มิถุนายน 2556) ที่โรงพยาบาลธีรวัฒน์ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ นายสุวิทย์ สุบงกฎ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร นายแพทย์พิสิทธิ์ เอื้อวงศ์กูล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ร่วมกันเปิดโครงการผ่าตัดเพื่อลดจำนวนคนตาบอดจากต้อกระจก "ชาวกาฬสินธุ์ดวงตาสดใจ ปลอดภัยจากโรคต้อกระจก ด้วยพระบารมีในหลวง” ซึ่งจังหวัดกาฬสินธุ์ร่วมกับ โรงพยาบาลธีรวัฒน์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) เพื่อคัดกรองและผ่าตัดตาต้อกระจกให้ชาวกาฬสินธุ์โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายจาก ประชาชน

นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า โครงการลดจำนวนคนตาบอดจากต้อกระจกในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างเพื่อเทิดพระ เกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นโครงการที่คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน), ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย และโรงพยาบาลศุภมิตร จัดรณรงค์ผ่าตัดต้อกระจกโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในพื้นที่ชนบทห่างไกลของ ประเทศไทย กัมพูชา ลาว เมียนม่าร์ในปี 2556 จำนวนเป้าหมาย 10,000 ตา สำหรับการผ่าตัดที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นตัวอย่างหรือรูปแบบที่เกิดจากความร่วมมือกันทั้งภาครัฐและเอกชน โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ และ สปสช.เขต 7 เป็นองค์กรหลักในการประสานงาน แบ่งพื้นที่บริการคือโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ บริการครอบคลุมทั้งจังหวัด โรงพยาบาลบ้านแพ้ว โรงพยาบาลศุภมิตร แบ่งพื้นที่เป็นรายอำเภอ โดยมีเป้าหมายให้จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นจังหวัดปลอดคนตาบอดจากต้อกระจก

สำหรับการผ่าตัดครั้งนี้ทีมงานจักษุแพทย์ พร้อมเจ้าหน้าที่คัดกรองคนไข้ของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว ตรวจคนไข้ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่ 3,041 คน พบผู้ป่วยโรคต้อกระจก 969 คน ได้รับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลธีรวัฒน์ 210 คน



ดวงใจ หงษ์จันทร์/ข่าว

จ.กาฬสินธุ์ จัดอบรมด้านการเงินและบัญชีให้กับคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี

จังหวัดกาฬสินธุ์ จัดอบรมด้านการเงินและบัญชี ให้กับคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เพื่อให้การบริหารจัดการ แนวทางการปฏิบัติงานด้านการเงินเป็นไปอย่างถูกต้องตามระเบียบ

เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (21 มิถุนายน 2556) ที่ห้องประชุมชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ นายสุวิทย์ สุบงกฎ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีด้านการเงินและ บัญชี ประจำปี 2556 เพื่อให้คณะกรรมการฯ ได้มีความรู้ ความเข้าใจในการบริหาร จัดการ วางแผนการปฏิบัติงานด้านการเงินของกองทุนสตรีแต่แห่งให้มีประสิทธิภาพ ถูกต้อง แม่นยำ และเป็นไปตามระเบียบ โดยมีคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสตรีในเขตพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวนกว่า 200 คน เข้าอบรม

นางสาวปราณี สุทธิศรี ประธานคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสตรีจังหวัดกาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายในการพัฒนาสตรี โดยการจัดตั้ง "กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี” เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนในการพัฒนาอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ การพัฒนาศักยภาพสตรี องค์กรสตรี สร้างภาวะผู้นำสตรี โดยสนับสนุนงบประมาณจังหวัดละ 100 ล้านบาท สำหรับจังหวัดกาฬสินธุ์ คณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสมาชิกกองทุนฯ 140,789 คน และคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้อนุมัติโครงการฯ เรียบร้อยแล้ว 161 โครงการ รวมเป็นเงิน 15,127,389.-บาท คิดเป็น 15.21% ของงบประมาณที่ได้รับ แยกเป็นประเภทเงินอุดหนุน 24 โครงการ เป็นเงิน 3,166,289.-บาท, ประเภทเงินทุนหมุนเวียน 137 โครงการ เป็นเงิน 11,961,100.-บาท และอยู่ระหว่างตรวจสอบรายละเอียดจำนวน 198 โครงการ เป็นเงิน 9,655,776.-บาท ซึ่งคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีตำบล เป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนงานดังกล่าวให้บรรลุวัตถุประสงค์ยังขาดความ รู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารการเงินและบัญชี ดังนั้น คณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจังหวัดกาฬสินธุ์ จึงได้จัดโครงการฝึกอบรมด้านการเงินและบัญชีให้กับคณะกรรมการกองทุนพัฒนา บทบาทสตรีระดับตำบลทุกแห่ง เพื่อให้การดำเนินงานของกองทุนฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้านนายสุวิทย์ สุบงกฎ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า การขับเคลื่อนการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเป็นภารกิจที่สำคัญอย่าง ยิ่งที่คณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจังหวัดกาฬสินธุ์และตำบลจะต้องร่วม กันดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎเกณฑ์ และแนวทางที่สำนักงานกองทุนกำหนด เรื่องความโปร่งใส เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน ดังนั้น การสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องด้านการเงินและบัญชีจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้การ บริหารจัดการโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด




ดวงใจ หงษ์จันทร์/ข่าว

เปิดงานท่องเที่ยวทุ่งกระเจียวที่ชัยภูมิคึกคัก

รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เปิดงานเทศกาลท่องเที่ยวดอกกระเจียวงาม กระเจียวดีใจ ที่ชัยภูมิ เปิดมิติใหม่การท่องเที่ยวธรรมชาติ อันสดใส ท่ามกลางขุนเขา ป่าไม้ นานาพรรณ ดึงคนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม

เมื่อเวลา 17.30น. วันนี้ 21 มิถุนายน 2556 นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 สส.ชัยภูมิ ได้นำ สส.ชัยภูมิ ทั้ง 7 คน ทำพิธีเปิดงานเทศกาลท่องเที่ยวดอกกระเจียวงาม ปี 2556 ณ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ ซึ่งนายพรศักดิ์ เจียรณัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ได้ร่วมกับ พล.ต.ต.พินิต มณีรัตน์ ผบก.ภจว.ชัยภูมิ นายมนตรี ชาลีเครือ นายก อบจ.ชัยภูมิ ผนึกกำลังกับทุกภาคส่วน จัดงานขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ หวังโชว์ศักยภาพความพร้อมรับนักท่องเที่ยว ที่จะหลั่งไหลมาเที่ยวชมความสวยงามของทุ่งดอกกระเจียว สีชมพูอมม่วง เริ่มตั้งแต่การติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์เชิญชวน การจัดภูมิทัศน์ จุดให้นักท่องเที่ยวลงถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ปรับปรุงถนนทางเข้าอุทยานระยะทาง 13 กิโลเมตร ปรัปรุงร้านค้า สองฝากถนน หน้าบ้าน หน้ามอง รวมไปถึงร้านขายของที่ระลึก ร้านจำหน่ายสินค้าเกษตร สินค้าโอทอป เป็นต้น ทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปในปีนี้ เห็นแล้วสบายตายิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังเพิ่มลานจอดรถ และจัดรถตำรวจคอยบริการรับ-ส่ง จากจุดจอดรถ ถึงที่ทำการอุทยานฯ ฟรี ช่วงวันหยุดยาว ได้ระดมกำลังตำรวจ อปพร. หลายร้อยนาย ไว้อำนวยการจราจร ไม่ให้เกิดปัญหารถติด ส่วนด้านบนอุทยานฯ ได้รัดรถลาก ไว้บริการวิ่งรับ-ส่ง นักท่องเที่ยว ตั้งแต่ด่านเก็บค่าเที่ยวชม ไปยังหน้าผาจุดชมวิว ทุ่งดอกกระเจียว และลานหินงาม ซึ่งนักท่องเที่ยวซื้อบัตรนั่งรถครั้งเดียว สามารถขึ้น-ลงได้ตลอดสาย

สำหรับบรรยากาศการท่องเที่ยวในวันนี้ มีความคึกคักเป็นพิเศษ ดอกกระเจียว เบ่งบานแล้วก
ว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ชูช่อใบและดอก สีชมพู สดใส อวดนักท่องเที่ยว ต่างพกกล้องขึ้นไปเก็บภาพ ไว้เป็นที่ระลึก และจุดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวก็คือ ลานหินงาม ที่มีหินรูปร่างแปลกตา ทั้งหินรูปถ้าวยฟีฟ่า หินรูปแม่ไก่ รูปเดด้า เป็นต้น ขาดไม่ได้คือหินที่มีรูปลักษณ์คล้ายแท่งศิวลึงค์ มีชื่อว่า มอหำตั้ง ใครผ่านไปพบเป็นต้องไปยืนถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

เทศกาลท่องเที่ยวดอกกระเจียวงาม ยังคงมีต่อไปจนถึงปลายเดือนสิงหาคม 2556 นี้ นอกจากที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงามแล้ว ยังมีอีกแห่งหนึ่งคืออุทยานแห่งชาติไทรทอง อ.หนองบัวระเหว ที่มีกระเจียวสีขาว และกระเจียวสีชมพู น้ำตกไทรทอง และผาหำหด รอนักท่องเที่ยว ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อีกด้วย
 


 

สุระพงค์ สวัสดิ์ผล/ข่าว

กสิกรไทยเปิดบัตรเดบิตประจำจังหวัด 28 ลาย จำกัดเพียง 2 แสนบัตร เอาใจคนรักบ้านเกิด

ธนาคารกสิกรไทย นำโดยนายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ สร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้ตลาดบัตรเดบิตอีกครั้ง สมราคาผู้นำอันดับ 1 "ไลฟ์สไตล์ เดบิต การ์ด” เปิดตัว "บัตรเดบิตประจำจังหวัด” พร้อมกัน 28 ลาย จำกัดเพียง 2 แสนบัตร เอาใจคนรักบ้านเกิด และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าหัวเมืองใหญ่ที่ต้องการบัตรที่มอบสิทธิพิเศษ สำหรับจังหวัดตนเองโดยเฉพาะ จับมือพันธมิตรร้านอาหารดังประจำจังหวัดกว่า 200 ร้าน มอบส่วนลดสูงสุด 20% พร้อมนำเงินรายได้บริจาคโรงพยาบาลในแต่ละจังหวัด

"บัตรเดบิตประจำจังหวัด” มาพร้อมลายหน้าบัตรรูปสัญลักษณ์ประจำจังหวัดหัวเมืองใหญ่ ได้แก่ เชียงใหม่, นครราชสีมา, ขอนแก่น, อุดรธานี, นครปฐม, สมุทรสาคร, ราชบุรี, อยุธยา, ชลบุรี, ระยอง, ฉะเชิงเทรา, สงขลา, สุราษฎร์ธานี, และภูเก็ต รวมทั้งหมด 28 ลาย แบ่งเป็น K-My Debit Card มีลักษณะเป็นภาพเขียนลายเส้น 14 ลาย และ K-Max Debit Card มีลักษณะเป็นภาพถ่าย 14 ลาย ให้ลูกค้าได้เลือกเป็นเจ้าของตามความต้องการพร้อมปกสวมสมุดบัญชี และรับสิทธิประโยชน์ ดังนี้
 
o ส่วนลดตั้งแต่ 5 – 20% จากร้านอาหารร้านดังในจังหวัดที่ตรงกับหน้าบัตร รวมทั้งสิ้นกว่า 200 ร้านอาหาร

o ดูหนัง เพียง 100 บาททุกเรื่องทุกรอบ ที่โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ 

o รับเงินคืน 100 บาทเมื่อช้อปออนไลน์ผ่านบัตรตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป

o รับเงินคืน 100 บาท เมื่อรูดซื้อตั๋วเครื่องบินตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป

o รับเงินคืน 100 บาท เมื่อสะสมครบ 1,000 พ้อยท์ (ทุกการใช้จ่ายผ่านบัตร 25 บาท รับ 1 พ้อยท์)

o ผู้สมัครบัตรเดบิตประจำจังหวัดยังจะมีส่วนร่วมในการทำบุญ โดยรายได้ 100 บาทจากบัตรที่ขายได้แต่ละใบจะนำบริจาคให้กับโรงพยาบาลในแต่ละจังหวัดทั้ง 14 จังหวัด
 

สมัครบัตรเดบิตประจำจังหวัดได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2556 ที่สาขาในจังหวัดที่ตรงกับลายหน้าบัตร หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-888-8888 และ www.askkbank.com/kdebitcard

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: งานประชาสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารการตลาด  สายงานธุรกิจลูกค้าบุคคลและเครือข่ายบริการธนาคารกสิกรไทย พรรณราย ทวีโชติกิจเจริญ (อ๋า) โทร. 02-470-1344, 08-1735-7799 รจิตร พุทธพงษ์ (ตุ้ย) โทร. 02-470-1380, 08-1801-1521

ดร.วินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานในพิธีเปิด สำนักงาน TO BE NUMBER ONE จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งตั้งอยู่ที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.)นครราชสีมา ซึ่งเดิมตั้งอยู่ที่ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา

พร้อมนี้ได้มอบนโยบายแก่หน่วยงานที่เข้า ร่วมพิธีฯ และมอบใบเกียรติบัตรแก่ ชมรมTO BE NUMBER ONE ประเภทชุมชนจังหวัดนครราชสีมา ที่ผ่านการประกวดระดับจังหวัด ผู้ชนะเลิศระดับจังหวัด ได้แก่ ชมรม TO BE NUMBER ONE บ้านมะเกลือใหม่ อ.สูงเนิน และรองชนะเลิศระดับจังหวัด ได้แก่ ชมรม TO BE NUMBER ONE บ้านยางใหญ่ อ.เมืองนครราชสีมา และ ชมรม TO BE NUMBER ONE บ้านโนนเกษตร อ.ขามสะแกแสง สำหรับหน่วยงานที่สนับสนุนการดำเนินงานของสมาชิก TO BE NUMBER ONE. IDOLS ผู้ชนะเลิศระดับจังหวัด ได้แก่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือ รพ.สต.นาราก ต.อรพิมพ์ อ. ครบุรี โดยจะเข้าร่วมการประกวดระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่อไป เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ที่ผ่านมา
 
ดร.วินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า การเปิดศูนย์สำนักงาน TO BE NUMBER ONE จังหวัดนครราชสีมานี้ เพื่อเป็นศูนย์การรวบรวมข้อมูลงานชมรม TO BE NUMBER ONE ศูนย์กลางการติดต่อประสานงานเครือข่ายสมาชิก เป็นสถานที่ทำงานของคณะทำงาน ตลอดจนเพื่อรวบรวมผลงานเครือข่ายชมรม TO BE NUMBER ONE จังหวัดนคราชสีมา ซึ่งจังหวัดนครราชสีมาได้ดำเนินงานชมรม TO BE NUMBER ONE ด้วยตระหนักถึงความสำคัญต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในกลุ่มเด็กและ เยาวชน เพื่อให้เด็กและเยาวชนนครราชสีมาห่างไกลจากยาเสพติด
นายแพทย์วิชัย ขัตติยวิทยากุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา กล่าวเพิ่มว่า ปัจจุบันจังหวัดนครราชสีมา มีชมรม TO BE NUMBER ONE จำนวน 2,677 แห่ง (แบ่งเป็น ชมรม TO BE NUMBER ONE ในสถานศึกษาจำนวน 2,276 แห่ง ในชุมชน จำนวน 349 แห่ง ทัณฑสถาน จำนวน 1 แห่ง และสถานประกอบการ จำนวน 51 แห่ง) มีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 561,783 คน จังหวัดนครราชสีมามีกองทุนในการดำเนินงานชมรมฯ กว่า 1 ล้านบาท ทั้งนี้ ดร.วินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้มีนโยบายให้ทุกภาคส่วนร่วมมือร่วมใจเป็นจังหวัด TO BE NUMBER ONE ด้วยการรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนสวมเสื้อชมรม TO BE NUMBER ONE ทุกวันศุกร์ โดยทุกภาคส่วนที่ต้องการสมัครเป็นชมรม TO BE NUMBER ONE จังหวัดนครราชสีมา หรือต้องการสั่งซื้อเสื้อชมรมฯ รวมทั้งประสานงานได้ที่สำนักงาน TO BE NUMBER ONE จังหวัดนครราชสีมา สสจ.นครราชสีมา หมายเลขโทรศัพท์ 0 4446 5010-4

ต่อ 308

จังหวัดนครราชสีมา ขอเชิญพุทธศาสนิกชนร่วมงาน “ประเพณีเข้าพรรษาประจำปี 2556” ระหว่างวันที่ 4-28 กรกฎาคม 2556 ณ บริเวณ ลานน้ำตกบ่อปลา ชั้น 1 เดอะมอลล์นครราชสีมา

วันเข้าพรรษา เป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์ โดยการพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนี่งตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดระยะ 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างอ้างแรมที่อื่น หรือที่เรียกติดปากกันว่า "จำพรรษา” เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย การเข้าพรรษาตามปกติเริ่มนับตั้งแต่ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ถึงแม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของพระภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทยก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำบุญรักษาศีลและชำระจิตใจ ให้ผ่องใสกับกิจกรรมดีๆ
 
ด้วยเหตุนี้ จังหวัดนครราชสีมา โดยเดอะมอลล์นครราชสีมา ได้ร่วมกับ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮาส์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกันจัดขึ้น ที่เดอะมอลล์นครราชสีมา เป็นประจำทุกปี เพื่อให้เยาวชน , บุคคลทั่วไป ,พุทธศาสนิกชน , นักท่องเที่ยวภายในจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดใกล้เคียง ได้ร่วมกิจกรรมเนื่องในวันเข้าพรรษา เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ และเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไป ได้ชื่นชมกับความวิจิตรงดงามของรถเทียนพรรษา ที่ได้รับรางวัลจากการประกวดรถเทียนพรรษา ประจำปี 2556 ที่จังหวัดนครราชสีมาจัดขึ้นและจะนำมาจัดแสดง หน้าห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์นครราสีมา ตั้งแต่วันที่ 24 – 28 กรกฎาคม 2556
 
นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมบุญภายในงานอีกมากมาย อาทิ กิจกรรมถวายแผ่นเทียน , กิจกรรมตามรอยวิจิตรศิลป์ หล่อ – ติด แผ่นเทียนกับต้นเทียนทั้ง 4 ต้น เพื่อมอบให้กับวัดที่นำผลงานเทียนมาแสดง , กิจกรรมถวายเทียนและหลอดไฟ และ กิจกรรมระบายสีการ์ตูนเข้าพรรษา นิทรรศการเรื่องราวเกี่ยวกับ วันเข้าพรรษาและประวัติความเป็นมาของการประดิษฐ์ และการจัดสร้างรถเทียนของแต่ละวัด ที่ได้รับรางวัลให้เยาวชนได้เรียนรู้ศึกษาข้อมูล อีกด้วย
 

พร้อมนี้ ขอเชิญพุทธศาสนิกชน ร่วมในพิธีมอบปัจจัยจากการจัดงานถวายให้แก่วัดบิง อ.โชคชัย, วัดเดิม, วัดบูรพาพิมล, วัดสระเพลง อ.พิมาย และวัดหนองบัวรอง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ณ บริเวณศูนย์อาหาร Food Hall ชั้น 1 เดอะมอลล์นครราชสีมา ในวันวันที่ 28 กรกฎาคม 2556 ด้วย

นายวินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เตือนนายจ้างที่มีพฤติกรรมหรือส่อเจตนากระทำผิดกฎหมายประกันสังคม ด้วยการหักเงินสมทบจากลูกจ้างแต่ไม่ยอมนำส่งสำนักงานประกันสังคม

จังหวัดนครราชสีมา เอาจริงนายจ้างเหลี่ยมจัดหักเงินสมทบลูกจ้าง แต่ไม่ยอมนำส่งประกันสังคม เป็นการเอาเปรียบลูกจ้าง ทำให้ลูกจ้างชวดสิทธิที่ควรจะได้รับอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ผู้พบเห็นพฤติกรรมดังกล่าวกรุณาแจ้งสำนักงานประกันสังคมทราบโดยด่วน

นายวินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เตือนนายจ้างที่มีพฤติกรรมหรือส่อเจตนากระทำผิดกฎหมายประกันสังคม ด้วยการหักเงินสมทบจากลูกจ้างแต่ไม่ยอมนำส่งสำนักงานประกันสังคม เมื่อลูกจ้างไปขอรับประโยชน์ทดแทนกลับไม่สามารถใช้สิทธิได้ ทำให้เสียขวัญ และกำลังใจ รวมทั้งเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปติดต่อขอรับสิทธิประโยชน์ที่พึง ได้ จากเหตุการณ์ดังกล่าว จังหวัดนครราชสีมาไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ดำเนินการจัดส่งเจ้าหน้าที่ของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดเข้าไปตรวจสอบ ข้อเท็จจริงกรณีนายจ้างกระทำผิดโดยไม่ดำเนินการชำระเงินสมทบตามระยะเวลาที่ กฎหมายกำหนด ซึ่งในส่วนของกองทุนเงินทดแทนนายจ้างจะต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๓ ต่อเดือนของเงินสมทบที่ยังคงค้างชำระ ส่วนกองทุนประกันสังคมนายจ้างจะต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๒ ต่อเดือนของเงินสมทบที่ยังมิได้นำส่ง หรือต้องชำระส่วนที่ขาดอยู่จนครบถ้วน แต่หากนายจ้างยังคงเพิกเฉยจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายประกันสังคม คือ จำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวเพิ่มเติมว่า การกระทำเช่นนี้นั้นถือเป็นความผิดตามกฎหมาย นอกจากนายจ้างจะต้องสูญเสียเงินเพิ่มโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อลูกจ้างผู้ประกันตน ทำให้ไม่สามารถขอรับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานประกันสังคมได้ เพราะหากนำส่งเงินสมทบไม่ครบตามเงื่อนไขการเกิดสิทธิประโยชน์ในแต่ละกรณี จะทำให้ลูกจ้างผู้ประกันตนเสียสิทธิไปโดยไม่รู้ตัว จึงขอฝากเตือนถึงนายจ้างควรนำส่งเงินสมทบให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อลูกจ้างจะได้รับสิทธิประโยชน์อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ และทำให้ลูกจ้าง ผู้ประกันตน มีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานให้แก่นายจ้างอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ลูกจ้าง ผู้ประกันตน หรือผู้ที่พบเห็นการกระทำดังกล่าว สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครราชสีมา โทร. ๐๔๔ ๒๐๕๓๕๓ ทุกข้อมูลที่ได้รับจะถูกเก็บเป็นความลับและจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ต่อไป 

คณะกรรมการตัดสินการประกวดระดับ จังหวัด โครงการ To Be Number One ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมหน่วยงานซึ่งเป็นตัวแทน ชมรม To BE Number One ของจังหวัดนครราชสีมา ที่ผ่านเข้าสู่การประกวดในระดับประเทศ

วันนี้ (21 มิ.ย. 56) เวลา 13.30 น.  คณะกรรมการตัดสินการประกวดระดับ จังหวัด โครงการ To Be Number One ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมหน่วยงานซึ่งเป็นตัวแทน ชมรม To BE Number One ของจังหวัดนครราชสีมา ที่ผ่านการคัดเลือก เข้าสู่การประกวดในระดับประเทศ โดยมี ดร.วินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ ณ หอประชุมเปรมติณสูลานนท์ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา โดยภายหลังจากการแสดงของหน่วยงานที่ผ่านการคัดเลือกการประกวดชมรม To BE Number One ในระดับประเทศ ดร.วินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้กล่าวต้อนรับ คณะกรรมการตัดสินการประกวด โดยจังหวัดนครราชสีมา ได้น้อมนำเอาโครงการ To Be Number One ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี มาดำเนินการตั้งแต่ ปี 2546 ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการดำเนินงานตามโครงการและยึดหลักยุทธศาสตร์ มี 3 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ ที่ 1 การรณรงค์ปลูกจิตสำนึกและสร้างกระแสนิยมที่เอื้อต่อการป้องกันแก้ไขปัญหายา เสพติด ยุทธศาสตร์ ที่ 2 การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันทางจิตใจแก่เยาวชน ยุทธศาสตร์ ที่ 3 การสร้างและพัฒนาเครือข่ายป้องกันแก้ไขยาเสพติด เพื่อให้เป้าหมายเด็กและเยาวชนจังหวัดนครราชสีมา เป็นคนเก่ง มีความรับผิดต่อตนเองและสังคม สำหรับการการประกวดระดับ จังหวัด To Be Number One ระดับประเทศในครั้งนี้ มีบริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์(มหาชน) นครราชสีมา บริษัทแป้งมันเอี่ยมเฮง อุตสาหกรรม จำกัด โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ชุมชนบ้านหนองตะไก้ อ.หนองบุญมาก และชุมชนบ้านเปลาะปลอ อ.โนนสูง เป็นตัวแทนของขังหวัดนครราชสีมา เข้าร่วมการประกวด To Be Number One ระดับประเทศ ในครั้งนี้

จังหวัดนครราชสีมา เตรียมจัดการแข่งขันวอลเล่ย์บอลหญิงชิงชนะเลิศแห่งเอเชียครั้งที่ 17 ระหว่างวันที่ 13-21 กันยายน 2556 นี้ ขณะที่ผลการจับสลากแบ่งสาย ทีมไทย อยู่ร่วมสายกับ คาซัคสถาน ออสเตเลีย มองโกเลีย

วันนี้ (21 มิ.ย. 56) เวลา 10.00 น. ที่โรงแรมสีมาธานี อ.เมือง จ.นครราชสีมา สมาคมวอลเล่ย์บอลแห่งประเทศ และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ร่วมกันแถลงข่าวและการจับสลากแบ่งสายการแข่งขัน ช้าง วอลเล่ย์บอลหญิงชิงชนะเลิศแห่งเอเชียครั้งที่ 17 โดยมีนายกิจ พฤกษ์ชะอุ่ม นายกกิตติมศักดิ์สมาคมวอลเล่ย์บอลแห่งประเทศไทย ดร.วินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ร้อยตรีหญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา และนายราม่อน ซูซาร่า ตัวแทนจากสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ ร่วมงาน แถลงข่าว และจับสลากแบ่งสาย ซึ่งการแข่งขันวอลเล่ย์บอลชิงชนะเลิศแห่งเอเชียครั้งที่ 17 จะจัดการแข่งขันที่ห้องเอ็ม ซีซี ฮอลล์ เดอะมอลล์นครราชสีมา และสนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ในระหว่างวันที่ 13-21 กันยายน 2556 โดยทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันมีทั้งสิ้น 16 ทีม ประกอบด้วย ทีมไทย (เจ้าภาพ) จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ คาซัคสถาน อิหร่าน เวียดนาม ไต้หวัน ออสเตเลีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เมียนม่าร์ มองโกเลีย อินเดีย ฮ่องกง และศรีลังกา การแบ่งสาย แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่ม ละ 4 ทีม ได้แก่ สาย เอ ประกอบด้วย ไทย คาซัคสถาน ออสเตเลีย มองโกเลีย สายบี ประกอบด้วย จีน อิหร่าน ฟิลิปปินส์ อินเดีย สายซี ประกอบด้วย ญี่ปุ่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ฮ่องกง สายดี ประกอบด้วย เกาหลีใต้ ไต้หวัน เมียนม่าร์ ศรัลังกา สำหรับการแข่งขันรายการนี้ทีมที่คว้าแชมป์จะได้เข้าไปแข่งขันต่อในรายการ เวิลด์แกรนด์ แชมป์ เปี้ยนคัพ ระหว่างวันที่ 12-17 พย.2556 และทีมที่ได้อันดับ 1-8 ของการแข่งขัน จะได้สิทธิ์ในการแข่งขันเอเซียในปีหน้าส่วนทีมที่ได้อันดับ1-2จะได้สิทธิ์ไป แข่งขันในรายการเวิลด์กรังปรีซื 2014

ชาวนาโคราชวอนรัฐบาลชะลอลดราคารับจำนำข้าวออกไปก่อน แนะรัฐบาลควรหันไปปรับลดราคาปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืชช่วยเหลือเกษตรกร ด้านผู้ว่าฯ สั่งนายอำเภอทุกพื้นที่ชี้แจงทำความเข้าใจเกษตรกร

วันนี้ (21 มิ.ย. 56) นายวินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยพาณิชย์จังหวัดนครราชสีมา และการค้าภายในจังหวัดนครราชสีมา ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงสีข้าวไทยณรงค์รุ่งเรือง อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นโรงสีแห่งหนึ่งที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว เพื่อทำความเข้าใจกับกลุ่มเกษตรกร ภายหลังจากที่รัฐบาลมีการปรับราคารับจำนำข้าว จากเดิม 15,000 ต่อตัน เหลือ 12,000 ต่อวัน เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนกรกฏาคม 2556 นี้ โดยมีตัวแทนเกษตรกรจากทั้ง 32 อำเภอของจังหวัดนครราชสีมาจำนวนกว่า 50 คน ยืนถือป้ายสนับสนุนนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล แต่กลุ่มเกษตรกรอยากให้รัฐบาลชะลอการลดราคาจำนำข้าวจากราคาตันละ 15,000 บาท เหลือเพียงตันละ 12,000 บาทออกไปก่อนชั่วคราว จนกว่าผลผลิตข้าวนาปรังของเกษตรกรจะเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นทั้งหมด และค่อยเริ่มปรับราคารับจำนำในช่วงผลผลิตของข้าวนาปี อย่างไรก็ตาม นายวินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้สั่งให้นายอำเภอทั้ง 32 อำเภอ เร่งชี้แจงเกษตรกรชาวนาในพื้นที่ของตนเอง หลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบปรับลดราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2556 เหลือ 12,000 บาทต่อตัน เพื่อทำความเข้าใจแก่เกษตรกร โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร
 

นายเติมศักดิ์ บุญชื้น ประธานสภาเกษตรกรชาวนาจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลเพิ่งประกาศนโยบายจำนำข้าวซึ่งลดราคาจากเดิมตันละ 15,000 บาท เหลือเพียงตันละ 12,000 บาท ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องชี้แจงให้พี่น้องเกษตรกรเข้าใจถึงการปรับ ลดราคาลง นอกจากนี้รัฐบาลต้องหันไปส่งเสริมเกษตรกรในเรื่องปัจจัยการผลิตพื้นฐานแทน เช่น การลดราคาปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืช ซึ่งมาตรการดังกล่าวสามารถนำไปทดแทนเรื่องของการปรับลดราคารับจำนำข้าวให้ กับเกษตรกรได้

สสจ.สุรินทร์ ให้ระวัง โรคมือเท้าปากระบาด แนะ โรงเรียนเข้มมาตรการ กินร้อน ช้อนกลาง และล้างมือ เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดี

นายสอาด วีระเจริญ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยว่า ขณะนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน และเป็นช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ จะมีเด็กนักเรียนมาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก โรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นจากการมาอยู่รวมกันได้แก่ โรคมือ เท้า ปาก ซึ่งโรคนี้มักเกิดในเด็กเล็กทั่วไป เด็กที่ติดเชื้อโรคมือเท้าปาก จะมีไข้ 1-2วัน จากนั้นจะมีตุ่มหรือแผลในปากคล้ายแผลร้อนใน อาจมีหลายแผล ส่วนใหญ่จะพบที่บริเวณคอหอยหรือใกล้ต่อมทอนซิล หากอาการรุนแรงจะลามมาที่ลิ้น กระพุ้งแก้ม ทำให้เด็กเจ็บในปากและคอ ไม่ยอมดูดนม กินอาหารไม่ได้ ส่วนใหญ่เด็กที่ป่วยอาการจะค่อยดีขึ้นเรื่อยๆ และหายได้เองภายใน 7 วัน มีจำนวนน้อยที่มีอาการรุนแรง คือมีไข้สูง อาจมีอาการชัก แขนขาอ่อนแรง โรคนี้ไม่มีวัคซีนป้องกันและไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แพทย์จะให้การรักษาตามอาการ

จังหวัดสุรินทร์ จึงขอความร่วมมือโรงเรียน และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้ทำความสะอาดอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ในห้องเรียน ห้องครัว ภาชนะใส่อาหาร ห้องน้ำ ห้องส้วม อาคารสถานที่ แยกของใช้เป็นรายบุคคล เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ช้อน หากอุปกรณ์ให้นักเรียนได้ล้างมือด้วยน้ำสบู่ก่อนทานอาหารและหลังเข้าส้วมทุกวัน และให้ครูตรวจสุขภาพเด็กนักเรียน โดยเฉพาะการตรวจตุ่มใสที่มือ เท้า ปาก หากพบว่าเด็กมีไข้ หรือพบตุ่มใสขึ้นที่มือ เท้า หรือในปาก ขอให้แยกออกจากเด็กปกติ แจ้งผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่อยู่ใกล้ เพื่อควบคุมป้องกันโรค หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามที่ศูนย์บริการข้อมูลฮ็อตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข หรือโรงพยาบาลใกล้บ้านได้ทันที




กัญญรัตน์  เกียรติสุภา  ส.ปชส.สุรินทร์ /รายงาน

เยาวชนกว่า 1,000 คน ร่วมกิจกรรมงาน “โครงการสานฝันวัยใส” ที่จังหวัดสุรินทร์พร้อมมุ่งมั่นที่จะเข้าศึกษาต่อสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของประเทศ

วันนี้ (22 มิถุนายน 2556 ) เวลา 10.00 น. ที่โรงเรียนสุรวิทยาคาร อำเภอเมือง ฯ จังหวัดสุรินทร์ พลตรี วีรยุทธ ม่วงปิ่น ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาภาค 5 เป็นประธานเปิดงาน“โครงการสานฝันวัยใส” โดยมี นายถาวร กุลโชติ ปลัดจังหวัดสุรินทร์ นางสาวกัญญรัตน์ เกียรติสุภา ประชาสัมพันธ์จังหวัดสุรินทร์ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการและเยาวชน นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กว่า 1,000 คน ร่วมกิจกรรม สำหรับ“โครงการสานฝันวัยใส”กองบัญชาการกองทัพไทย เป็นโครงการที่หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ร่วมกับมูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และจังหวัดสุรินทร์ ร่วมจัดงานโดยนำสมาชิกค่ายอาสาจากสถาบันอุดมศึกษาทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ฯลฯ และโรงเรียนนายทหารของเหล่าทัพ เช่น วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ โรงเรียนนายร้อย จปร. โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ประมาณ 170 คน มาจัดกิจกรรมแนะแนวแก่นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดสุรินทร์

ทั้งนี้ เพื่อให้ทราบแนวทาง เสริมสร้างความมุ่งมั่นตั้งใจ เตรียมความพร้อมที่จะพัฒนาความรู้ ความสามารถนำพาตนเองเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของประเทศ และโรงเรียนนายทหารของเหล่าทัพต่าง ๆ ในการจัดกิจกรรมจะมีการจัดตั้งซุ้มแนะแนวของแต่ละสถาบัน การเดินแบบเครื่องแบบนักศึกษา นักเรียนพยาบาล เหล่าทัพ รวมทั้งนักเรียนนายทหาร การประกวดเรียงความ การประกวดจัดบอร์ดนิทรรศการ การแสดงดนตรีและมอบรางวัลแก่นักเรียนที่ชนะการประกวดด้วย




กัญญรัตน์  เกียรติสุภา  ส.ปชส.สุรินทร์ /รายงาน

จังหวัดสุรินทร์ห่วงยอดเด็กจมน้ำพุ่งสูง แนะผู้ปกครองดูแลอย่างใกล้ชิด

นายพิภพ ดำทองสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยว่า ช่วงนี้มีข่าวว่าเด็กจมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่หนึ่งของเด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี ในแต่ละปีมีเด็กจมน้ำมากถึงเกือบ 1,400 คน เฉลี่ยวันละ 4 คน โดยเฉพาะในภาคอีสาน ช่วงเวลาที่เกิดเหตุ มักจะเป็นช่วงเที่ยงวันจนถึงช่วงเย็น เพราะมีอากาศร้อน ทำให้เด็กแอบไปเล่นน้ำ ในแต่ละครั้ง เด็กมักจะจมน้ำเสียชีวิตพร้อมกันครั้งละหลายๆคน เนื่องจากไม่รู้วิธีเอาตัวรอด และวิธีช่วยเหลือคนจมน้ำที่ถูกต้อง ใน ปี 2556 นี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดประเด็นรณรงค์ป้องกันเด็กจมน้ำว่า “หนูไม่จมน้ำแน่...ถ้าพ่อแม่ป้องกัน” เตือนพ่อแม่ไม่ควรให้เด็กอยู่ตามลำพัง เพราะแม้ระดับน้ำสูงเพียง 1-2 นิ้ว เช่น ถังน้ำ กะละมัง หรือแอ่งน้ำเล็กๆ

ซึ่งมีน้ำอยู่เพียงเล็กน้อย  หากปล่อยเด็กไว้เพียงลำพัง เด็กเล็กก็สามารถจมน้ำเสียชีวิตได้ ควรสอนเด็กให้ว่ายน้ำเป็น สอนกฎแห่งความปลอดภัย เช่น ไม่ลงไปเก็บดอกบัว หรือกระทงในน้ำ ในกรณีช่วยเหลือเด็กที่จมน้ำ ห้ามจับเด็กที่จมน้ำอุ้มพาดบ่าหรือวางบนกระทะคว่ำ เพื่อเอาน้ำออกเพราะเป็นวิธีที่ผิด และจะทำให้เด็กขาดอากาศหายใจนานยิ่งขึ้น ควรรีบช่วยด้วยการเป่าปากและนวดหัวใจ ส่วนในท้องที่ชนบทต่าง ๆ จะมีแหล่งน้ำมากมายและช่วงนี้ฝนตกอย่างต่อเนื่องทำให้มีปริมาณน้ำสูงขึ้น ควรมีการแนะนำเด็กให้สามารถดูแลตนเองได้ โดยเฉพาะความประมาทและคึกคะนองอาจเป็นสาเหตุเด็กจมน้ำเสียชีวิตได้




กัญญรัตน์  เกียรติสุภา  ส.ปชส.สุรินทร์ /รายงาน

กองทุน กรอ. เปิดกู้ยืม ปวส.-ปริญญาตรี

ดร.ฑิตติมา  วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กองทุนฯ  ได้เปิดระบบ e-Studentloan กองทุน กรอ. หรือ กองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ระดับ ปวส. ทุกสาขา และปริญญาตรี เฉพาะสาขาที่เป็นความต้องการหลักของประเทศ ได้มีสิทธิขอกู้ยืมเงินในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 แล้วตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2556

สำหรับหลักเกณฑ์การกู้ยืมกองทุน  กรอ. จะให้กู้ยืมค่าเล่าเรียนแก่นักศึกษาระดับอาชีวศึกษาขั้นสูง (ปวส.) ทุกสาขา และระดับอุดมศึกษา (ปริญญาตรี) ที่เรียนในหลักสูตรหรือสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักและมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคนจำนวน 90 กลุ่มสาขาวิชา หรือ 1,313 หลักสูตร/สาขาวิชา หากผู้กู้ยืมมีฐานะยากจนมีรายได้ครอบครัวไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี ก็สามารถขอกู้ยืมค่าครองชีพเพิ่มเติมจากค่าเล่าเรียนได้ เมื่อเรียนจบและมีรายได้ถึง 16,000 บาทต่อเดือน ต้องผ่อนจ่ายชำระคืนกองทุนฯ ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ภายในระยะเวลา 15 ปี

ทั้งนี้ นักศึกษาที่ประสงค์ขอกู้ยืมกองทุน กรอ. สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและดำเนินการขอกู้ยืมผ่านระบบ e-Studentloan ได้ทาง www.studentloan.or.th ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ ศูนย์สายใจ กยศ. โทร. 02-610 4888” ผู้จัดการกองทุนฯ




สมทรง  เผือกผล   ส.ปชส.สุรินทร์ /รายงาน

สำนักงานยุติธรรมจังหวัดสุรินทร์ เชิญชวนแสดงความคิดเห็นร่างแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3

นายวิชัย  โชติปฏิเวชกุล หัวหน้าสำนักงานยุติธรรมจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า ด้วยจังหวัดสุรินทร์  ได้มอบหมายให้สำนักงานยุติธรรมจังหวัดสุรินทร์ ดำเนินการประสานประชาสัมพันธ์ส่วนราชการ ในการร่วมแสงความคิดเห็นในการพัฒนาต่อยอดร่างแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 เพื่อให้มีความสมบูรณ์ครอบคลุมภารกิจของหน่วยงาน

ทั้งนี้ หากสนใจศึกษาร่างแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  ฉบับที่ 3 สามารถเปิดได้ทาง www.rlpd.rlpd.moj.go.th หัวข้อ สิทธิมนุษยชน/แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ/ร่างแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 รวมทั้งดาวน์โหลดแบบแสดงความคิดเห็น ส่งผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้ ทางไปรษณีย์ กองส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพ กรมคุ้มครองสิทิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ชั้น 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210 โทรสาร 0 2143 9675 76 หรือทาง e-mail: nhr.plan@gmail.com ฝากผ่าน สำนักงานายุติธรรมจังหวัดทั่วประเทศ และสอบถามได้ที่ ส่วนแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 0-2141-2745-46 , 58-60




กรรณิกา สำราญจริง  ส.ปชส.สุรินทร์ รายงาน

ผวจ.สุรินทร์ให้เกษตรกรรีบนำข้าวเปลือกนาปรังร่วมโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ภายในเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อให้ได้ราคารับจำนำ ตันละ 15,000 บาท

นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ สั่งการด่วนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรนำข้าวนาปรังเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวนาปรังก่อนวันที่ 30 มิถุนายนนี้ เนื่องจากรัฐบาลเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ให้ปรับลดราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปรังฤดูกาลผลิตปี 2556 ลงเหลือตันละ 12,000 บาท จากปัจจุบันที่ตันละ 15,000 บาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป พร้อมกันนี้ให้ปรับเงื่อนไขวงเงินรับจำนำไม่เกินรายละ 500,000 บาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายนนี้

ดังนั้น หากเกษตรกรนำข้าวเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลหลังวันที่ 30 มิถุนายนนี้ เกษตรกรจะได้รับเงินค่าจำนำข้าวน้อยลง 3,000 บาท ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า จังหวัดสุรินทร์ มีโรงสีที่เปิดจุดรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง จำนวน 8 โรงสี และโรงสีในจังหวัดสุรินทร์ได้เปิดจุดรับจำนำนอกพื้นที่อีก 4 แห่ง รวมจุดรับจำนำทั้งสิ้น 12 แห่ง ซึ่งขณะนี้มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ ณ จุดรับจำนำแล้ว 2,063 ราย ปริมาณข้าวเปลือกที่รับจำนำรวมทั้งสิ้น 8,256 ตัน และ ธ.ก.ส. ได้จ่ายเงินให้แก่เกษตรกรไปแล้วจำนวน 97,040.627 บาท หากเกษตรกรมีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ ขอให้นำข้าวเปลือกและเอกสารที่เกี่ยวข้อง คือ ใบรับรองเกษตรกร สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สมุดเงินกู้ ธ.ก.ส. ไปติดต่อได้ที่จุดรับจำนำ และขอให้เกษตรกรรีบนำข้าวนาปรังเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวนาปรังก่อนวันที่ 30 มิถุนายนนี้ เพื่อให้ได้รับราคารับจำนำที่ตันละ 15,000 บาท หากเกษตรกรไม่ได้รับความเป็นธรรมในการจำนำขอให้แจ้งได้ที่สายด่วน 1569




สมทรง  เผือกผล   ส.ปชส.สุรินทร์ /รายงาน

ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ฝ่ายกิจกรรมพิเศษ และคณะมอบสิ่งของพระราชทานแก่เด็กเล็ก ที่จังหวัดสุรินทร์

นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์  กล่าวว่า ด้วย นายดำรง รัตนพานิช  รองประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ฝ่ายกิจกรรมพิเศษ และคณะ กำหนดเดินทางมาติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน และมอบสิ่งของพระราชทานแก่เด็กเล็ก นักเรียนในโรงเรียนบ้านกะเลงเวก และนักเรียนโรงเรียนมัธยมทับทิมสยาม 04 ในวันที่ 25 มิถุนายน 2556 เวลา 09.00 น. จำนวน 20 ชุด ซึ่งมีกำหนดการประชุมร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำชุมชน และราษฎร พร้อมทั้งรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานในหมู่บ้านทับทิมสยาม 04 ในเวลา 15.00 น. ที่อาคารอเนกประสงค์ หมู่บ้านทับทิมสยาม 04 อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์

ทั้งนี้ ขอเชิญหัวหน้าส่วนราชการ  ผู้นำชุมชน และราษฎร เข้ารับฟังการบรรยายสรุปผลการดำเนินงานในหมู่บ้านทับทิมสยาม 04 โดยพร้อมเพรียงกัน ตามวันและเวลาดังกล่าว




กรรณิกา สำราญจริง  ส.ปชส.สุรินทร์ รายงาน

เวที “พูดจาหาทางออกประเทศไทย” จังหวัดสุรินทร์วันแรก เรียกร้องให้เคารพเสียงส่วนใหญ่ เคารพกติกา ตัดสินคดีด้วยความเป็นธรรม และสื่อต้องมีความเป็นกลาง ระบุความเป็นธรรมทำให้สังคมเป็นสุข

เมื่อวานนี้ (22 มิ.ย. 2556) จังหวัดสุรินทร์ได้จัดเวที “พูดจาหาทางออกประเทศไทย” เวทีแรก ที่ห้องประชุมโรงแรมเพชรเกษม เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนของสังคมมีส่วนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นการแก้ไขปัญหาเพื่อหาทางออกประเทศไทย โดยมีผู้เข้าร่วมเวทีเป็นตัวแทนของภาคส่วนต่างๆ จากเขตเลือกตั้งที่ 1 - 4 ได้แก่ ภาคเกษตร ภาคแรงงาน ภาคอุตสาหกรรม การบริการ และการค้า เจ้าหน้าที่ของรัฐ แพทย์ พยาบาล นักเรียน นักศึกษา นักวิชาการ ผู้นำชุมชน องค์กรภาคประชาชน ภาคการเมือง ผู้นำศาสนา และสื่อมวลชน กว่า 800 คน

การจัดเวที “พูดจาหาทางออกประเทศไทย” ครั้งนี้  คณะวิทยากรได้แบ่งกลุ่มผู้ร่วมเวทีเสวนา เป็น 8 กลุ่ม ๆ ละ 100 คน  ประกอบด้วย กลุ่มสุรินทร์สามัคคี  กลุ่มชมพูสร้างสุข  กลุ่มพลังช้าง  กลุ่มรักเมืองไทย  กลุ่มรักสุรินทร์  กลุ่มร่วมคิดร่วมทำ  กลุ่มเมืองช้าง  และกลุ่มสวรรค์ชั้น 7

หลังจากแต่ละกลุ่มร่วมระดมความคิดเห็นแล้ว  ได้ส่งตัวแทนเสนอปัญหาของประเทศไทยโดยสรุป ว่า ประชาชนสุรินทร์ไม่ใช่คู่ขัดแย้งแต่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งโดยตรง  เนื่องจากคู่ขัดแย้งมีการสร้างกลุ่มเพื่อรักษาอำนาจของกลุ่มตนเอง ในขณะที่สังคมมีความหลากหลายทางความคิด มีปัญหาความไม่เท่าเทียมกันของคนในสังคม  การไม่ยอมรับกติกา  ปัญหาระบบอุปถัมภ์ ความไม่เป็นธรรมทางกฎหมาย  การไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง   ไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ นอกจากนั้นยังมีปัญหาเศรษฐกิจ  ปัญหาสื่อเลือกข้างและขาดการควบคุม การแอบอ้างสถาบันเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง  และปัญหาการก่อการรัฐประหาร เป็นต้น

ส่วนทางออกที่แต่ละกลุ่มนำเสนอ ได้แก่ นักการเมืองต้องมีคุณธรรม  เคารพเสียงส่วนใหญ่  เคารพกติกา  รู้แพ้  รู้ชนะ  รู้อภัย  ยอมรับความเห็นของประชาชนและความคิดเห็นที่แตกต่าง กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งทางการเมือง   ผู้นำชุมชนควรเป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง  การดำเนินการของภาครัฐควรสอบถามความต้องการของประชาชน  ประชาชนควรมีการรวมกลุ่มเพื่อให้มีอำนาจต่อรอง  ส่วนการบัญญัติกฎหมายต้องมีความชัดเจน  ไม่ต้องมีการตีความ  ต้องตัดสินคดีด้วยความเป็นธรรม  ควรบัญญัติกฎหมายเอาผิดนักการเมืองทุจริตและผู้ก่อการรัฐประหารไม่มีอายุความ  ควรมีการปฎิรูปสื่อให้มีความเป็นกลางในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และย้ำว่าความเป็นธรรมทำให้สังคมเป็นสุข

สำหรับการจัดเวที  พูดจาหาทางออกประเทศไทย ที่จังหวัดสุรินทร์ เวทีที่ 2 จะจัดขึ้นในวันนี้  (23 มิ.ย. 2556) ที่ห้องประชุมโรงแรมเพชรเกษม โดยมีผู้เข้าร่วมเวทีเป็นตัวแทนของภาคส่วนต่างๆ จากเขตเลือกตั้งที่ 5-8 ทั้งนี้ เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นการหาทางออกประเทศไทยที่สร้างสรรค์ ในการลดความขัดแย้ง และสร้างความเข้าใจในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เกิดสังคมประชาธิปไตยที่เข้มแข็งอย่างยั่งยืน

ประชาชนที่สนใจ  ติดตามรับฟังเวทีเสวนา พูดจาหาทางออกประเทศไทย จังหวัดสุรินทร์ได้ ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดสุรินทร์ ระบบ F.M.93.5 MHz. ตั้งแต่เวลา 09.10 น. เป็นต้นไป




สมทรง  เผือกผล   ส.ปชส.สุรินทร์ /รายงาน