หมอไทยฝีมือเยี่ยมผ่าตัด
ต้อกระจกได้ระดับมาตรฐานอนามัยโลก และปริมาณเกินเป้าที่กำหนด
อนาคตวางเป้าหมายเป็นศูนย์กลางการแพทย์และสาธารณสุขของอาเซียน
นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์
ประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาและส่งเสริมการพัฒนาด้านสาธารณสุข
ในคณะกรรมาธิการสาธารณสุข
สภาผู้แทนราษฎรให้สัมภาษณ์ในโอกาสเดินทางมาร่วมโครงการ "ดวงตาสดใส
ปลอดภัยจากโรคต้อกระจก ด้วยพระบารมีในหลวง” ที่จังหวัดกาฬสินธุ์
เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2556 เปิดเผยว่า
จังหวัดกาฬสินธุ์เป็นตัวอย่างของการรณรงค์ลดจำนวนคนตาบอดจากโรคต้อกระจก
โดยนายสุวิทย์ สุบงกฎ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์
และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ได้ระดมบุคลากรด้านสาธารณสุข,
ฝ่ายปกครองและส่วนท้องถิ่น
ทำงานเชิงรุกจัดระบบค้นหาและคัดกรองผู้ป่วยโรคต้อกระจกในทุกพื้นที่ของ
จังหวัดกาฬสินธุ์ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2556 เป็นต้นมา
พบมีผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงต่อโรคต้อกระจกมากกว่า 2 แสนคน
คาดว่าจะมีผู้ป่วยโรคต้อกระจกที่เข้าเกณฑ์จะได้รับการผ่าตัดประมาณ 5,000 คน
ซึ่งภาพรวมในระดับประเทศจากผลการประเมิน
เบื้องต้นพบว่าผลการผ่าตัดต้อกระจกในประเทศไทย
ทั้งในโรงพยาบาลและการผ่าตัดเคลื่อนที่ (นอกสถานที่ปกติ)
มีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดโดยองค์การอนามัยโลก ในปี 2555
ตั้งเป้าผ่าตัด 100,000 ตา ผ่าได้จริง 140,000 ตา ในปี 2556 ตั้งเป้าผ่าตัด
100,000 ตา คาดว่าจะผ่าได้จริงไม่น้อยกว่า 140,000 ตา
ในจำนวนต้อกระจกที่ได้รับการผ่าตัด มีสายตามัวในเกณฑ์ที่ถือว่าตาบอด
(Blinding cataract) ประมาณ 20%
ซึ่งคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร
เห็นว่า มีจำนวนการผ่าตัดมากกว่าเป้าหมายมาก
ซึ่งเป็นผลดีที่ทำให้สามารถลดคิวรอผ่าตัดต้อกระจกจาก 6 เดือน – 1 ปี
เหลือไม่เกิน 3 เดือน สนองนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล
แต่ก็มีปัญหาด้านงบประมาณโครงการบริหารจัดการโรคเฉพาะ (โรคต้อกระจก) ของ
สปสช.ติดลบต้องนำเงินจากโครงการอื่นมาใช้และยังต้องใช้เงินงบประมาณใน
โครงการนี้ล่วงหน้าจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันมีจำนวนเงินค้างจ่าย
จนมีผลกระทบถึงหน่วยให้บริการในโครงการแล้ว
สมควรที่สำนักงบประมาณจะต้องพิจารณาให้การสนับสนุนโครงการนี้เป็นกรณีพิเศษ
และเร่งด่วน
ส่วนปัญหาการเคลื่อนย้ายบุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข
เมื่อประเทศไทยรวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียนนั้น นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์
ได้กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศในกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ
ได้มีการพูดคุยตกลงกันแล้วทางการแพทย์ในการให้ความร่วมมือในการศึกษา ควบคุม
ป้องกัน และรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่เกิดที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง
โดยเฉพาะซึ่งการเคลื่อนย้ายบุคลากรคงไม่น่าจะมีปัญหา
และทางประเทศไทยได้วางเป้าหมายไว้ว่าจะต้องเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และ
สาธารณสุขในอาเซียน
สุรพล คุณภักดี/ข่าว