วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

ตำรวจชุดสืบสวนเมืองสุรินทร์ บุกจับแก๊งค้าอาวุธปืนได้ผู้ต้องหา 3 ราย

ตำรวจชุดสืบสวนเมืองสุรินทร์ บุกจับแก๊งค้าอาวุธปืนเถื่อนไทยประดิษฐ์คาถนน ระหว่างนำมาขายให้กับวัยรุ่นในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ได้ผู้ต้องหา 3 ราย

วันที่ (21 ม.ค.57) เวลา 15.00 น. พ.ต.ท.ประกิจ เหลือวิลัย รอง ผกก.สส.สภ.เมืองสุรินทร์ พร้อมด้วย ร.ต.อ.ณัฐฐ์นนท์ สีฟ้า รองสารวัตรสืบสวน สภ.เมืองสุรินทร์ นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน สภ.เมืองสุรินทร์ จำนวน 15 นาย เข้าพื้นที่เป้าหมาย ถนนสายเลี่ยงเมืองหน้าเรือนจำ บริเวณหน้าเพชรสุรินทร์รีสอร์ท ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ หลังสืบทราบจากสายลับรายงานว่ามี วัยรุ่นชาวจังหวัดบุรีรัมย์ลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนเถื่อน จนปรากฏตัวผู้ต้องสงสัยจำนวน 3 ราย กำลังเจรจาซื้อขายอาวุธปืนกับสายที่ทำการล่อซื้อ จึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมทันที ประกอบด้วย นายชาตรี สายแก้ว อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9 ม.9 ต.กันทรารมย์ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ นายอรรถพร สุภาษร อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่50 ม.9 ต.กันทรารมย์ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ และนายศุภิจ สายแก้ว อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 147 ม.9 ต.กันทรารมย์ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ พร้อมด้วยอาวุธปืนสั้นไทยประดิษฐ์ขนาด .22 ม.ม. ของกลางจำนวน 1 กระบอก ไม่มีหมายเลขทะเบียน และรถยนต์เก๋งซึ่งเป็นพาหนะของผู้ต้องหา ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีออส สีบรอนทอง หมายเลขทะเบียน ษง-4091 กรุงเทพมหานคร 1 คัน พร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหา มีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

พ.ต.ท.ประกิจ เหลือวิลัย รอง ผกก.สส.สภ.เมืองสุรินทร์ เปิดเผยว่า การจับกุมมีขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้สืบทราบว่า จะมีวัยรุ่นลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย บริเวณถนนสายเลี่ยงเมืองหน้าเรือนจำ พบว่าอาวุธปืนไทยประดิษฐ์กระบอกดังกล่าวซุกอยู่ใต้เบาะที่นั่งคนขับ จึงทำการควบคุมตัวมาสอบสวนจากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า อาวุธปืนดังกล่าว มีลุงอยู่ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ มอบให้กับมาเพื่อนำมาส่งให้ผู้ที่จะมาซื้อในราคา 16,000 บาท และก่อนหน้านี้ได้มีการนำปืนสั้นไทยประดิษฐขนาด .22 มม. มาจำหน่ายให้กับวัยรุ่นในพื้นที่สุรินทร์ จำนวน 2 กระบอก ในราคากระบอกละ 16,000 บาท ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 3 คนจะได้ค่าจ้างเป็นค่าเดินทางนำอาวุธปืนมา โดยเงินที่ได้จากการขายอาวุธปืน จะนำไปเที่ยวเตร่และเล่นพนันบอล



อุทัย  มานาดี / รายงาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น