วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

รมช.สาธารณสุข” เปิดงานรวมพลังการแพทย์แผนไทย และการแพทย์พื้นบ้าน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คาดเมื่อไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ยาสมุนไพรจะดึงเงินเข้าประเทศไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท

วันนี้ (7 มิ.ย. 56) เวลา 10.30 น. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมช.สาธารณสุข เป็นประธานเปิดงานรวมพลังการแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้าน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปี 2556 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7 – 9 มิถุนายน 2556 ณ เอ็มซีซี ฮอลล์ เดอะมอลล์นครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา โดยมี นพ.สมชัย นิจพานิช อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ดร.วินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นพ.คำรณ ไชยศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง เครือข่ายพื้นที่บริการสุขภาพที่ 9 และนพ.วิชัย ขัตติยวิทยากุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา พร้อมคณะนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด 19 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือร่วมจัดงาน ได้แก่ จังหวัดร้อยเอ็ด ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ หนองคาย บึงกาฬ เลย อุดรธานี หนองบัวลำภู นครพนม สกลนคร ชัยภูมิ สุรินทร์ อำนาจเจริญ ศรีษะเกษ ยโสธร อุบลราชธานี และมุกดาหารและ อสม.กว่า 6,000 คน ให้การต้อนรับ
 
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า การจัดงานนี้เพื่อพัฒนางานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดยใช้ชื่องานว่า "การแพทย์พื้นบ้านอีสาน สืบสานสมุนไพร สร้างรายได้สู่อาเซียน” วัตถุประสงค์ของการจัดงานเพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายภาคตะวันออก เฉียงเหนือ และเครือข่ายบุคลากรด้านการแพทย์แผนไทย เพื่อเป็นเวทีนำเสนอผลงานวิชาการและบุคคลที่มีภูมิปัญญาดีเด่นของแต่ละ จังหวัด รวมทั้ง การแสดงนิทรรศการการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน การเสวนาร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์แผนไทย การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของเครือข่ายบุคลากรด้านการแพทย์แผนไทย เพื่อการพัฒนาให้ยั่งยืน และเป็นการสร้างกระแส การดูแลสุขภาพ ด้วยการแพทย์แผนไทย และการใช้สมุนไพรในประชาชนทั่วไปภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน การใช้สมุนไพร ในแต่ละท้องถิ่น ล้วนมีคุณค่าแสดงถึงเอกลักษณ์ความเป็นชาติไทย โดยเฉพาะวิถีวัฒนธรรมท้องถิ่นของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพ แบบองค์รวม ครอบคลุมทั้งร่างกายและจิตใจ การใช้ศาสตร์แพทย์แผนไทยและการใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพนั้น ยั่งยืนและสืบเนื่องมานานนับพันปี แสดงว่าเป็น แนวทางการรักษาที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ อันเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่ยังคงรักษาศาสตร์การแพทย์ของชาติไว้ได้ ท่ามกลางการแสวงหาทางเลือกในการดูแลรักษาสุขภาพ และกระแสการเข้ามาของศาสตร์การแพทย์ทางเลือกต่างๆ ซึ่งกิจกรรมในงานประกอบด้วย ต้นแบบคลินิกเวชกรรมไทย บริการตรวจรักษาและให้ความรู้กับประชาชนนิทรรศการแพทย์แผนไทย และศูนย์เรียนรู้การดูแลตนเอง จากเครือข่าย ๒๐ จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การนวดเพื่อสุขภาพปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ "เภสัชกรยิปซีกับการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์” โดย ศ.ดร.ภญ.กฤษณา ไกรสินธุ์ บรรยายพิเศษ ในหัวข้อ "สุขภาพกับดวงดาว” โดย นพ.ทีปทัศน์ ชุนหสวัสดิกุล ฤาษีดัดตนภาวนา/โยคะภาวนา โดย อ.ธนวัชร์ เกตน์วิมุต การแสดงผลงานวิชาการทางด้านแพทย์แผนไทย การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน นิทรรศการจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ด้านการส่งเสริมการแพทย์แผนไทย การสาธิตให้ความรู้ในการผลิตยาสมุนไพร, ผลงานด้านการสนับสนุนตลาดกลางสมุนไพร, งานวิจัยสมุนไพรต่างๆ ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
 

 รมช.สาธารณสุข กล่าวต่อว่า การจัดงานรวมพลังการแพทย์แผนไทยในครั้งนี้ นอกจากบุคลากรด้านการแพทย์แผนไทยจะได้มีเวทีนำเสนอผลงาน ได้แลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ ซึ่งแต่ละจังหวัดต่างก็มีภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านมานำเสนอ ยังเป็นการสืบสาน ค้นหา และขยายเครือข่ายภูมิปัญญาฯ และบุคลากรด้านการแพทย์แผนไทย อีกด้วย ซึ่งการรวมกลุ่มเครือข่ายในระดับจังหวัด/ระดับภาคครั้งนี้ จะทำให้เกิดความต่อเนื่องในการประสานงาน และพัฒนางานด้านการแพทย์ แผนไทยอย่างยั่งยืน และทุกกิจกรรมในงานนี้นับว่าครอบคลุมและตอบโจทย์ของชื่องาน คือ "การแพทย์พื้นบ้านอีสาน สืบสานสมุนไพร สร้างรายได้สู่อาเซียน” ได้อย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระรวงสาธารณสุขในด้านการส่งเสริมการแพทย์แผนไทย เพื่อเข้าถึงประชาชนทุกชุมชน และขยายบริการด้านการแพทย์แผนไทย ในสถานบริการสาธารณสุขทุกระดับ คาดว่าเมื่อไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ยาสมุนไพรจะดึงเงินเข้าประเทศไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท "อีกทั้ง การรวมกลุ่มเครือข่ายในระดับจังหวัด ระดับภาค จะทำให้เกิดความต่อเนื่องในการประสานงาน ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จัดเป็นหน่วยงานกลางที่จะให้การสนับสนุนจังหวัดในเรื่องขององค์ความรู้ การสร้างกระแสการแพทย์แผนไทย การสนับสนุนงบประมาณ รวมทั้งการผลักดันเชิงนโยบายให้มีแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ระดับตำบลครอบคลุมทุกแห่งทั่วประเทศ และเป็นที่น่ายินดีว่าหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ดำเนินการสอดรับกับนโยบายดังกล่าวแล้ว” นพ.ชลน่านกล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น