วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คดีที่ทิ่้งขยะ คดีหมายเลขดำที่ ๒๒๓/๒๕๕๓ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๙๙/๒๕๕๖ ศาลปกครองนครราชสีมา

ศาลปกครองนครราชสีมา
 

วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ เวลา ๑๓.๐๐ นาฬิกา ศาลปกครองนครราชสีมาได้ออกอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ ๒๒๓/๒๕๕๓ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๙๙/๒๕๕๖ ระหว่างนายเสมียน จารุแพทย์ ที่ ๑ และนางศุภลักษณ์ เชิดชู ที่ ๒ ผู้ฟ้องคดี กับ เทศบาลตำบลขามใหญ่ ที่ ๑ นายกเทศมนตรีตำบลขามใหญ่ ที่ ๒ ปลัดเทศบาลตำบลขามใหญ่ ที่ ๓ เทศบาลตำบลอุบล ที่ ๔ นางสุดารัตน์ วามสิงห์ ที่ ๕ ผู้ถูกฟ้องคดี

คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองรวมทั้งชาวบ้านหัว คำ หมู่ที่ ๘ ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี อ้างว่า เทศบาลตำบลขามใหญ่นำขยะมาทิ้งในที่ดินของเอกชนในท้องที่ตำบลขามใหญ่ โดยไม่มีการแจ้งให้ผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณบ่อกำจัดขยะทราบ และไม่มีการทำประชาคมหมู่บ้าน เมื่อขยะมีปริมาณมากและกำจัดโดยไม่ถูกวิธี ทำให้ส่งกลิ่นเหม็นและเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชาวบ้าน             
      
ศาลปกครองนครราชสีมาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง มาตรา ๕๘ และมาตรา ๖๗ ได้บัญญัติถึงสิทธิของบุคคลและชุมชนที่จะได้รับการคุ้มครอง ส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม จากภาครัฐ เพื่อให้บุคคลหรือชุมชนสามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวด ล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิตของตน เมื่อกิจการกำจัดขยะมูลฝอยไม่ว่าจะดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐเอง หรือดำเนินการโดยเอกชนซึ่งได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐ เป็นกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต รวมทั้งสิทธิและเสรีภาพของบุคคลและหรือชุมชน ทั้งยังอาจจะก่อให้เกิดปัญหาเดือดร้อนรำคาญแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณ ใกล้เคียง จนทำให้ไม่สามารถดำรงชีพได้อย่างปกติสุข ดังนั้น ก่อนเริ่มดำเนินกิจการ หน่วยงานของรัฐจึงมีหน้าที่ต้องเผยแพร่ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นจาก ประชาชนในพื้นที่ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาประกอบการพิจารณาว่า สมควรดำเนินกิจการกำจัดขยะมูลฝอยในพื้นที่นั้นหรือไม่ อย่างไร และต้องกำหนดแนวทางที่เหมาะสมและเพียงพอในการป้องกันหรือเยียวยาผลกระทบที่ อาจเกิดขึ้นจากการพิจารณาตัดสินใจนั้น     
            
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ (เทศบาลตำบลขามใหญ่) นำขยะมูลฝอยไปกำจัดในที่ดินของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ (นางสุดารัตน์ วามสิงห์) ในท้องที่ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โดยไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ จึงเป็นการดำเนินการที่ไม่คำนึงถึงสิทธิของผู้ฟ้องคดีทั้งสองและชุมชน ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. ๒๕๔๘ ถือได้ว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรูปแบบขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่ กฎหมายกำหนด
 
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กำจัดขยะมูลฝอยด้วยวิธีการฝังกลบ ไม่มีการปูผ้ายางหรือวัสดุกันซึมรองพื้นหลุมบ่อขยะ เป็นกรรมวิธีที่ไม่เหมาะสมและไม่ได้มาตรฐานด้านการกำจัดมูลฝอย ทั้งยังไม่สามารถดำเนินการฝังกลบขยะได้ทั้งหมด เป็นเหตุให้มีขยะบางส่วนถูกทิ้งบริเวณรอบบ่อขยะ รวมถึงถนนทางเข้า แม้บางส่วนของขยะจะถูกฝังกลบปิดทับด้วยดินก็ตาม แต่ก็ยังมีขยะจำนวนมากที่กองอยู่และยังไม่ได้ถูกฝังกลบภายในเวลาอันสมควร ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น บ่อขยะมีน้ำขัง กรณีดังกล่าวย่อมทำให้เกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลผู้มีที่อยู่อาศัยใน ละแวกใกล้เคียง การกำจัดขยะของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงไม่ถูกหลักสุขาภิบาลและก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ถือได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้ก่อให้เกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญนั้นเอง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงมีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๖ แห่ง พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่จะระงับและแก้ไขเหตุเดือดร้อนรำคาญดังกล่าว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ก็ไม่ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหา กลับปล่อยปละละเลยไม่กำจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลให้ถูกสุขลักษณะ รวมทั้งไม่คุ้มครองดูแลและบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายใน เขตรับผิดชอบของตน ทั้งที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ สามารถดำเนินการได้ และสามารถหาวิธีป้องกันการฟุ้งกระจายของขยะ รวมทั้งวิธีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการป้องกันน้ำจากบ่อขยะไหลเข้าสู่ ที่ดินของประชาชนหรือแหล่งน้ำสาธารณะ เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่ได้ดำเนินการใดๆ จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๕๐ (๓) แห่ง พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ ประกอบมาตรา ๑๘ แห่ง พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ และถือว่าการดำเนินกิจการกำจัดขยะมูลฝอยของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ในพื้นที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย และเป็นเหตุเดือดร้อนรำคาญแก่ ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง และประชาชนที่อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงโดยตรง ทำให้ไม่สามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติ อันเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสอง
                  
ประกอบกับได้ความจากคำชี้แจงของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานีและ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มิได้มีส่วนได้เสียกับคู่กรณี ฟังเป็นยุติว่า สภาพบ่อขยะในพื้นที่พิพาทตั้งอยู่ติดกับแหล่งน้ำสาธารณะ น้ำบาดาลบริเวณใกล้เคียงมีกลิ่นเหม็นและมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน น้ำผิวดินบริเวณข้างบ่อขยะเน่าเสีย การทิ้งขยะมูลฝอยไม่มีการฝังกลบเป็นชั้นๆ ไม่มีการฉีดยากำจัดสัตว์และแมลงนำโรคอย่างต่อเนื่อง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่มีแผนงานหรือโครงการที่แสดงถึงการปรับปรุงพัฒนาบ่อกำจัดขยะมูลฝอย ประกอบกับพื้นที่ข้างเคียงมีการขุดดินเป็นบ่อขนาดใหญ่เพื่อเตรียมรองรับขยะ มูลฝอย ซึ่งคาดว่าจะมีการทิ้งขยะมูลฝอยในรูปแบบเดิมอีก อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ตั้งใจจะนำขยะมาทิ้งในพื้นที่พิพาทต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีมาตรการที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนในชุมชนและสภาพแวดล้อมอย่าง จริงจัง ดังนั้น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและเป็นการขจัดปัญหาความเดือดร้อนรำคาญที่ เกิดขึ้นและอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองและประชาชนใน พื้นที่รอบๆ บ่อขยะพิพาท และเพื่อมิให้บ่อขยะพิพาทเป็นแหล่งกำเนิดมลภาวะที่เป็นพิษต่อทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งคุณภาพชีวิตของประชาชนในบริเวณดังกล่าวเพิ่มขึ้นจนมีสภาพเลวร้ายยาก ที่จะเยียวยาแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้หมดสิ้นไป
 
ศาลปกครองนครราชสีมาจึงมีคำพิพากษาดังนี้
 
๑. ห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๕ เปิดพื้นที่ทิ้งขยะเพิ่มเติม และห้ามไม่ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ นำขยะมูลฝอยมาทิ้งในที่ดินของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ อีกต่อไป ทั้งนี้ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในสามสิบวันนับแต่ศาลมีคำพิพากษา
 
๒. ห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๕ อนุญาตหรือกระทำการใดๆ อันเป็นการยินยอมให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ องค์การบริหารส่วนตำบลแจระแม องค์การบริหารส่วนตำบล
ไร่น้อย องค์การบริหารส่วนตำบลหัวเรือ เทศบาลตำบลปทุม รวมทั้งองค์กรปกครองท้องถิ่นอื่น บุคคล องค์กร หรือหน่วยงานใดๆ นำขยะมูลฝอยหรือสิ่งปฏิกูลมาทิ้งที่บ่อขยะพิพาท หากมีการกระทำฝ่าฝืน ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
 
๓. ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ เร่งกำจัดขยะมูลฝอยที่เหลือตกค้างทั้งในพื้นที่บ่อขยะและพื้นที่ข้างเคียง ให้ถูกสุขลักษณะ ตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ปรับปรุงสภาพแวดล้อม รวมทั้งตรวจสอบผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับน้ำใต้ดินและแหล่งน้ำผิวดิน ตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ตลอดจนดำเนินการอื่นตามอำนาจหน้าที่เพื่อมิให้ปัญหาเกี่ยวกับสถานที่ทิ้งขยะ ส่งผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวันนับแต่ศาลมีคำพิพากษา
 
ให้คำสั่งศาลเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ที่สั่งห้ามมิให้องค์การบริหารส่วนตำบลแจระแม องค์การบริหารส่วนตำบลไร่น้อย และเทศบาลตำบลปทุม นำขยะมาทิ้งที่บ่อขยะพิพาท และห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อนุญาตให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นนำขยะมาทิ้งที่บ่อขยะพิพาท กับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ดำเนินการกำจัดขยะมูลฝอยตามอำนาจหน้าที่ และตามความเห็นของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี ตลอดจนดำเนินการอื่นตามอำนาจหน้าที่เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อประชาชนและสิ่ง แวดล้อมจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น สิ้นผลลงนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
 

 
สำนักงานศาลปกครองนครราชสีมา โทรศัพท์ ๐๔๔-๓๐๗๓๐๐

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น