
นางราตรี บัวประดิษฐ์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่าหลักการแพทย์ เขียนไว้ว่า การบริจาคโลหิต คือ การสละโลหิตส่วนเกินที่ร่างกายยังไม่จำเป็นต้องใช้ เพื่อให้กับผู้ป่วย ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริจาค ซึ่งร่างกายแต่ละคนจะมีปริมาณโลหิตประมาณ 17-18 แก้วน้ำ แต่ร่างกายใช้เพียง 15-16 แก้วเท่านั้น ส่วนที่เหลือนั้นสามารถบริจาคให้ผู้อื่นได้ โดยสามารถบริจาคโลหิตได้ทุก 3 เดือน เพราะเมื่อบริจาคโลหิตออกไปไขกระดูกจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดโลหิตขึ้น มาทดแทนให้มีปริมาณโลหิตในร่างกายเท่าเดิม ถ้าไม่ได้บริจาค ร่างกายจะขับเม็ดโลหิตที่สลายตัว เพราะหมดอายุออกมาทางปัสสาวะ อุจจาระ
ส่วน โลหิตที่ได้รับบริจาค จะนั้นนำไปใช้ประโยชน์ ในการรักษาผู้เจ็บป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด หรือจากการคลอดบุตรผิดปกติ จากอุบัติเหตุและโรคที่เกี่ยวกับโลหิตทั้งหลาย
เมื่อได้รับโลหิตจากผู้บริจาคแล้ว ก่อนนำไปจ่ายให้โรงพยาบาลต่าง ๆ ต้องผ่านการตรวจตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก คือ ตรวจหาหมู่โลหิตระบบ ABO และ Rh ตรวจไวรัสตับอักเสบบี (HBs Ag)
ตรวจไวรัสตับอับเสบซี (Anti-HCV) ตรวจไวรัสโรคเอดส์ (Anti-HIV) เชื้อซิฟิลิส (Syphilis) นอกจากนี้ ยังนำโลหิตไปแยกส่วนประกอบเพื่อนำไปใช้กับผู้ป่วยต่อไป อีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น