วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

จังหวัดสุรินทร์รณรงค์ "ไถกลบตอซังข้าวและสลายตอซังด้วยเชื้อ จุลินทรีย์” ลดต้นทุนทำนา-รักษาระบบนิเวศ

นายพิภพ ดำทองสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า การเผาตอซังข้าว ไม่เพียงแต่สูญเสียทางระบบนิเวศวิทยาเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งความเสื่อมสภาพของดิน ทำลายแมลงและจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในดิน ที่เป็นหัวใจหลักในการผลิตพืชอาหารทางการเกษตร โดยเฉพาะข้าว ส่งผลทำให้เกษตรกรต้องใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมีเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นด้วย ทำให้มีชาวนาจำนวนไม่น้อยต้องปรับตัวเอง ลด ละ เลิก เผาตอซังหันมาสู่การปลูกข้าวในแบบวิถีธรรมชาติที่อาจจะต้องใช้ความอดทนใน ช่วงแรก แต่หลังจากนั้นเมื่อดินดี ผลผลิตก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การไถกลบตอซังจึงเป็นอีกวิธีที่ชาวนาเลือกใช้ ตามนโยบายของรัฐบาล เป็นการนำเศษซากพืชหมุนเวียนกลับลงสู่ดิน ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ทำให้ดินฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ มีความเหมาะสมต่อการเพาะปลูก และยังช่วยลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีได้อีกด้วย

ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยหลายชิ้นที่สรุปไว้ว่า การไถกลบตอซังเป็นวิธีการจัดการดินที่เหมาะสม สามารถช่วยบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อน และยังช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม แม้การใช้ผลิตภัณฑ์เชื้อจุลินทรีย์ย่อยสลายตอซัง จะทำให้มีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 300-350 บาทต่อไร่ โดยจำแนกค่าใช้จ่ายต่างๆ ดังนี้ ค่าสูบน้ำ, ค่าแรงการสาดพ่น, ค่าเช่ารถไถ, ค่าผลิตภัณฑ์ เป็นต้น แต่ก็คุ้มค่ากับการลงทุน เนื่องจากได้ปริมาณข้าวเปลือกเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งเท่าตัว แถมช่วยประหยัดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีได้ค่อนข้างมาก จากเดิมที่เคยใช้ปุ๋ยเคมีเฉลี่ย 80 กิโลกรัมต่อไร่ ขณะนี้ใช้ปุ๋ยเพียง 25-30 กิโลกรัมต่อไร่ และต้นข้าวก็มีใบเขียว แข็งแรง ทนทานต่อโรคและแมลง อีกทั้งยังช่วยประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายเรื่องสารเคมีได้อีกทางหนึ่งด้วย




กัญญรัตน์ เกียรติสุภา/ ส.ปชส.สุรินทร์ / ข่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น